More

    MG HS Facelift ปรับหล่อตามหลังไทยขายที่อังกฤษเริ่ม 1.019 ล้านบาท

    อังกฤษเป็นรายล่าสุดต่อจากไทยและจีนที่เผยหน้าตาใหม่หล่อใหม่ MG HS รุ่นปรับโฉมเป็นการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 5 ปี

    MG HS

    ด้วยหน้าตาไม่ต่างจาก MG HS เวอร์ชันไทย ยกระดับคุณค่าด้านการออกแบบให้มีความโดดเด่น ทันสมัยผสานทั้งความหรูหราและสปอร์ตอย่างลงตัวด้วยเส้นสายของตัวถังแบบ British Shoulder Line ที่เน้นเรื่องความโค้งมนสมบูรณ์แบบของตัวรถกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่คงเอกลักษณ์เฉพาะ DNA ใหม่ สี 2-Tone ดีไซน์ Digital Burning Grille กันชนหน้า-กันชนท้ายดีไซน์ใหม่พร้อมท่อไอเสียคู่ ไฟหน้าแบบ QUAD LED Projector ไฟส่องสว่าง Daytime Running Lights ไฟท้ายแบบ Full LED พร้อมไฟ Welcome Light สปอยเลอร์หลังพร้อมราวหลังคา ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้ามีฟังก์ชันปรับระดับสูง-ต่ำพร้อมสั่งการผ่านทางรีโมทคอนโทรล และล้ออัลลอย BI-COLOUR ดีไซน์ใหม่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/50 R18

    MG

    ภายในห้องโดยสารใช้วัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch ให้ความรู้สึกหรูหราและพรีเมียมในทุกรายละเอียด เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ใช้วัสดุ Alcantara สีดำ ปรับคู่หน้าด้วยระบบไฟฟ้ามีทั้งปรับ 6 ทิศทางในส่วนคนขับ และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันพร้อม Paddle Shift ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย หลังคา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ ไฟสร้างบรรยากาศภายใน Interactive Ambient Light ในห้องโดยสาร ปรับได้ 64 เฉดสี

    หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว หน้าจอกลาง แบบ Multi-Function Touchscreen ขนาด 10.1 นิ้ว ระบบเสียง Surround 6 จุด ระบบเชื่อมต่อมัลติมิเดีย Apple CarPlay และ Android Auto เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ให้ง่ายยิ่งขึ้น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังเสริมกรองอากาศ PM 2.5 กระจกมองหลังตัดแสงแบบอัตโนมัติ ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start พร้อมเทคโนโลยี Digital Key และ NVH Luxury Silence Space แผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร

    MG HS

    เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 15E4E ยังจัดจ้านแรงถึงใจ 162 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,300 รอบ/นาที คู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่  TST แบบ 7 สปีด พร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport เพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้นขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมช่วงล่างด้านหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบช่วงล่างหลังแบบ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง ดิสก์เบรกหน้าพร้อมช่องระบายความร้อนและดิสก์เบรกหลัง

    เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยรอบคันทั้งระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย (Full Space Frame) และ ความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) หรือระบบช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทั้งด้านหน้าและด้านท้ายรถ ซึ่งเทียบเท่ากับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 2 (Autonomous Level 2) รวมกัน 8 ระบบ ได้แก่ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมป้องกันคนบนนถนนและคนปั่นจักรยาน AEB (Autonomous Emergency Brake with Pedestrian and Bicycle Detection)

    MG

    ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) จำกัดความเร็วอัตโนมัติ Intelligent Speed Limit Assist ช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control) และในรุ่นเกียร์อัตโนมัติเพิ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) และควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) แต่ที่ต่างจากไทยคือไม่มีระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) และช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)

    นอกจากนี้ ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ  (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง และไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์

    MGMG

    MG HS รุ่นปรับโฉมพร้อมสีตัวถังทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Pearl) สีเทา (Urban Grey) และสีแดง (Scarlet Red) และมีอีก 3 สีที่ต่างจากไทยทั้งสีฟ้า Holborn Blue สีขาวมุก White Pearl และสีบอรนซ์เงิน Cosmic Silver ขายสองเกรดทั้งรุ่น SE และ Trophy มีสี่รุ่นย่อยพร้อมราคาจำหน่ายที่อังกฤษเริ่ม £23,495- £27,495 หรือราว 1,019,000-1,195,000 บาท

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts