More

    Mitsubishi Motors ยกเมืองไทยเป็นฮับผลิตรถยนต์ไฮบริด

    งานนี้ Mitsubishi Motors ทุ่มสุดตัวกับตลาดรถยนต์ด้วยการยกให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์กลุ่มใหม่ในภูมิภาคอาเซียน

    Mitsubishiเพราที่ผ่านมากลุ่มตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนมีความสำคัญ Mitsubishi Motors เป็นอย่างมากโดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 307.1 พันล้านเยน หรือประมาณ 750 ล้านบาทโดยกลุ่มตลาดอาเซียนมีรายได้ 70% ของจำนวนดังกล่าวและหลังจากเปิดตัว Mitsubishi Triton เจเนอเรชันที่ 6 โดยไทยเป็นที่แรกของโลกที่เปิดตัวและขายจนสร้างยอดขายเกรียวกราวมาแล้ว

    งานนี้ค่ายรถยนต์ทรีไดมอนด์เล็งเห็นศักยภาพกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะเมืองไทยที่พร้อมทุกด้านๆจึงปักหลักเลือกไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์กลุ่มใหม่นั่นก็คือกลุ่มรถยนต์ลูกผสม (ไฮบริด) ประเดิมด้วย Mitsubishi Xpander Hybrid ส่วนในเดือนพฤศจิกายนจะเผยรถยนต์เอสยูวีรุ่นใหม่ก็คือ Mitsubishi Xforce พร้อมขุมพลังไฮบริดจะตามมาในอนาคต

    Mitsubishiรถใหม่ทั้งสองรุ่นใช้โรงงานผลิตที่แหลมฉบังโดยจะเริ่มผลิตช่วงต้นปี 2024 นี้ นอกจากขายไทยยังส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ ตลาดภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคตะวันออกกลางสำหรับ Mitsubishi Xpander Hybrid โดยทาง Mitsubishi วางแผนที่จะเพิ่มอัตราส่วนของรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงรถยนต์ไฮบริดเป็น 50% ของยอดขายทั่วโลกภายในปี 2030 และหยุดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2035

    Mitsubishi ยังเชื่อมั่นว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการทยอยเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก สาเหตุมาจากค่าตัวรถที่สูงขึ้นและโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีการชาร์จยังมีอยู่แบบจำกัดและยังเชื่อมั่นต่อว่าจะสามารถสู้ยิปตาแข่งขันกับค่ายรถแดนมังกรได้และคาดว่าความต้องการรถยนต์กลุ่มไฮบริดจะยังคงเติบโตไปอีกอย่างน้อย 10 ปี

    Mitsubishiนอกจากไทยแล้วอินโดนีเซียยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จะผลิตรถยนต์ไฮบริด โดยได้ประโยชน์จากทรัพยากรนิกเกิลที่มีอยู่มากมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยปัจจุบัน Mitsubishi ผลิตรถยนต์ทั้งไฟฟ้าล้วนและปลั๊กอินไฮบริด ที่ญี่ปุ่นและกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นตลาดหลัก นอกจากผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปล้วนทั้งเบนซินและดีเซลเป็นหลัก จับตาแล้วว่ารถยนต์ใหม่สองรุ่นทั้ง Mitsubishi Xpander Hybrid และเอสยูวี Mitsubishi Xforce Hybrid จะถูกใจคนไทยมากน้อยแค่ไหนนั้นต้องติดตาม

    ที่มา Nikkei  และ โปนซัง

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts