More

    DENZA D9 2024 ปรับหรูท้าชน Alphard เปิดขายจีนเริ่ม 1.679 ล้านบาท

    ขายจีนมาสองปีจนมียอดขายมากถึง 117,978 คัน สำหรับ DENZA D9 ที่ตั้งใจมาเพื่อเป็น Alphard Killer ล่าสุดนี้เปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่หรือ MY2024 

    DENZA

    DENZA D9 หน้าตายังคงเดิมเน้นหรูหราด้วยชุดกระจังหน้าทรงทึบสีเงินแนวตั้ง 12 ซี่ ในรุ่น EV หรือ ลายเกล็ด 7 ชั้น ในรุ่น DM-I PHEV คล้าย Alphard ปะตราโลโก้เด่น พร้อมขอบสีเงินล้อมรอบด้านหน้ารถแบบเต็มๆไฟหน้า LED ดีไซน์หรู ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime พร้อมชุดตกแต่งสีเงินที่ขอบกระจก คิ้วชายล่างประตู คิ้วกันชนหลัง

    ไฟท้ายดีไซน์แนวยาว LED  และไฟเลี้ยววิ่ง Sequential หลังคา Dual Panoramic Sunroof ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า และ ล้ออัลลอยลายสุดล้ำขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/60R18 ในรุ่นปรับปรุงใหม่ติดตั้งออปชันเสริมความสบายด้วยประตูดูดไฟฟ้าทั้งในส่วนประตูคู่หน้าและประตูสไลด์สองฝั่ง

    มิติตัวรถมีความยาว 5,250 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,960 มิลลิเมตร ความสูง 1,920 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,110 มิลลิเมตร และความจุถังน้ำมัน 53 ลิตรสำหรับรุ่น DM-I PHEV

    DENZA

    ภายในหรูหราสง่างามเทียบเท่าคู่แข่งตั้งแต่เบาะนั่งหนังแท้ 7 ที่นั่งแบบ NAPPA โดยเบาะนั่งแถวที่สองมาแบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวด เบาะอุ่น ระบายความร้อนควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์ โต๊ะพับและที่วางแก้ว ตกแต่งด้วยวัสดุหนัง เบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 12 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ทุกที่นั่งมีระบบอุ่นเบาะ มีพื้นที่ด้านหลังขนของได้ 410-570 ลิตร กรณีไม่พับเบาะ และถ้าพับเบาะ 2,310 ลิตร ระบายอากาศ และนวดเพื่อผ่อนคลาย

    แผงคอนโซลหน้ามีจอสัมผัสขนาดใหญ่ลากเป็นแนวยาวประกอบด้วย จอสัมผัส 15.6 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto จอหลังเบาะคนขับคู่หน้า 2 จอขนา พร้อมลำโพง DYNAUDIO 14 จุด มีช่องเชื่อมต่อ USB ช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V มาตรวัด LCD 10.25 นิ้ว พร้อม จอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า Head Up Display

    มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light มากถึง 128 สี กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 3 โซน แยกบริเวณด้านหน้าและหลังอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะ พร้อมระบบ Push Start และที่ชาร์จมือถือไร้สาย

    ในรุ่น MY2024 ปรับตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันอัพเกรดในส่วนปุ่มการทำงานซ้าย-ขวาให้ไวขึ้นพร้อมระบบอุ่นที่พวงมาลัย จอสัมผัสยังเพิ่มฟังก์ชันความบันเทิงกับแอป Game Center เข้ามาด้วย ปรับในเรื่องระบบสั่งงานด้วยเสียง คอนโซลเกียร์ออกแบบใหม่ปรับให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมสีภายในใหม่แบบ Broad-minded Rice

    รุ่น 4 ที่นั่ง PIONEER เบาะ VIP สองที่นั่งปรับด้วยระบบไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อมระบบนวดเบาะมากถึง 18 จุด อุ่นเบาะถึง 6 จุด โต๊ะทำงานดีไซน์เรียบหรู สำหรับการใช้งานอเนกประสงค์ รองรับการทำงาน อ่านหนังสือ มีตู้เย็นเล็กขนาด 7.5 ลิตร พร้อมจอควบคุมการทำงานแบบจอสี LCD ในชุดคอนโซลกลางขนาดใหญ่

    หน้าจอขนาดใหญ่ 32 นิ้ว ลำโพงจาก DEVIALET มากถึง 22 จุด พร้อมชุดฉากกั้นมีกระจกกั้นกลางในห้องโดยสาร เก็บเสียงได้เป็นอย่างดี​ พร้อมระบบแอร์แยกส่วน ช่วยให้การหมุนเวียนอากาศแยกส่วนกันชัดเจน ระหว่างห้องคนขับและห้องโดยสาร เพิ่มระบบฟอกอากาศ FOREST สามารถกำจัดเชื้อไวรัส Covid-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ​

    DENZAขุมพลังมีสองแบบเริ่มที่ DM-i PHEV เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร รหัส BYD476ZQC กำลังสูงสุด 139 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิด 231นิวตันเมตรที่ 1,350-4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบ EHS Hybrid ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวกำลังสูงสุด 231 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 20.39 kWh

    เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้ารวม 301 แรงม้า แรงบิด 571 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 98 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC หรือ 75 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC ถ้าเติมน้ำมันและชาร์จหนึ่งครั้งรวมกัน วิ่งไกล 965 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 9.5  วินาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ในรุ่น DM-i 965

    รุ่น DM-i 1040 เครื่องยนต์เดียวกัน มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าให้พลังเท่ากันและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขยายความจุเป็น 40.06 kWh ทำงานร่วมกันให้แรงม้ารวมเหมือนกับรุ่น DM-i 965 แต่วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้ามากขึ้นถึง 190 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC หรือ 155 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC ถ้าเติมน้ำมันและชาร์จหนึ่งครั้งรวมกัน วิ่งไกล 1,040 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ เท่ากัน

    รุ่น DM-i 970 AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยเพิ่มมอเตอร์หลัง 61 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิด 681 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้ามากขึ้นถึง 180 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC หรือ 145 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC

    ถ้าเติมน้ำมันและชาร์จหนึ่งครั้งรวมกัน วิ่งไกล 970 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.9 วินาที  ทุกรุ่น สามารถชาร์จกระแสตรง DC รองรับกำลังสูงสุด 45 80 kW และชาร์จกระแสตรง AC

    BYDรุ่น EV มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้าติดตั้งความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 103.36 kWh คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 620 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 9.5 วินาที

    รุ่นท็อปมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเท่ากัน มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าให้กำลังเท่ากันแต่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 61 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้าสูงสุด 374 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร โดยชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 6.9 วินาที

    ทั้งคู่มีทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 7 kW และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% รองรับกำลังไฟสูงสุด 166 kW รองรับ V2L มาพร้อมช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์

    DENZA

    ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา (LCA/ BSD/ RCTA/ DOW)

    พร้อมความปลอดภัยทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution), เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว EPS ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)

    เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)

    จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3 เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้างหน้า-หลัง ม่านถุงลมนิรภัย หัวเข่ารวม 9 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง

    DENZA

    เอ็มพีวีหรูจาก BYD คู่แข่งโดยตรงคงหนีไม่พ้น MG Maxus 9 และ Toyota Alphard กับ Toyota VELLFIRE เปิดราคาแล้วที่จีนทั้งหมด 9 รุ่นย่อยเริ่มต้น 339,800-600,600 YUAN หรือราว 1,679,000-2,974,000 บาท โดยมียอดจองมากกว่า 10,000 คัน ส่วนรุ่นท็อป PIONEER ส่งมอบให้ลูกค้าช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้

    ส่วนเมืองไทยรุ่นนี้จะกลับมาโชว์อีกครั้งพร้อมรถใหม่ส่งตรงจากจีนอีก 6 รุ่นทั้ง BYD SEAL U, BYD SEA LION, BYD Seagull, BYD Song Max, FANGCHENGBAO BAO 5 และ YANGWANG U9 ที่งาน Bangkok Motor Show 2024 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายนนี้ และเตรียมบุกตลาดยุโรปสิ้นปี 2024

    ที่มา Car News China

     

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts