หลังจากที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI อนุมัติการลงทุนให้กับทาง ISUZU ไทย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาโดยเป็นการลงทุนครั้งแรก
ขุมพลังไฟฟ้านำพื้นฐานมาจากรถบรรทุกขนาดกลางรุ่น ELF EV หรือ N-Series EV มาประจำการด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว HP11 กับความจุแบตเตอรี่แพ็คละ 20 kWh ตามขนาดตัวถังรถ ตั้งแต่สองแพ็ครวมกัน 40 kWh สามแพ็ครวมกัน 60 kWh และห้าแพ็ครวมกัน 100 kWh ให้กำลังสูงสุด 150 จนถึง 204 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร และวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 150 ถึง 200 กิโลเมตร พร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง eco และ boost ระบบชาร์จมีสองแบบทั้งชาร์จเร็วกระแสตรง DC แบบ CCS2 และชาร์จกระแสสลับ AC แถมมีระบบ Regenerative Braking สามารถชาร์จในระหว่างการเบรกกลับเข้าแบตเตอรี่สามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับถึง 12 ระดับ
ถ้ามาประจำการอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมของตัวรถซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องปกติของค่าย ISUZU ที่ใช้เครื่องยนดีเซลตระกูล 4J ลงประจำการทั้งปิกอัพและรถบรรทุกและทำแบบนี้มายาวนาน เพื่อเป็นการลดขั้นตอนการพัฒนาที่ซันซ้อนให้น้อยลงและง่ายขึ้นและอาจเป็นการลดต้นทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมให้สำเร็จผล โดยเป็นรุ่นที่อยู่ในแผนการดำเนินการระยะกลางปี 2024 (ช่วงงบการเงินปี 2022- 2024) ของ ISUZU มีแผนเปิดตัวรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่เน้นความเป็นกลางทางคาร์บอนไม่ว่าจะเป็นปิกอัพ รถบรรทุกขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ภายในปี 2030 และมีนโยบายเปลี่ยนผ่านพลังงานไฟฟ้าเสร็จสมบูรณ์โดยมีสัดส่วนเกิน 50% ในปี 2050
ทางด้านความเคลื่อนไหวในไทยเมืองไทยล่าสุดผลิตรถยนต์ครบ 6 ล้านคัน ตอกย้ำความสำเร็จและการเติบโตอย่างมั่นคงกว่า 57 ปีที่ อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ IMCT ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2509 (เริ่มประกอบรถในไทยตั้งแต่ปี 2506) เพื่อทำการผลิตรถยนต์รองรับความต้องการของลูกค้าภายในประเทศและส่งออกมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ISUZU ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย และเป็นความสำเร็จอีกขั้นที่มียอดการผลิตรถยนต์ครบ 6 ล้านคัน ถือเป็นบทพิสูจน์การเติบโตอย่างมั่นคงในเมืองไทย โดยคันที่ 6 ล้านนั้นเป็น ISUZU D-MAX เวอร์ชันส่งออกไปออสเตรเลีย สำหรับโรงงานทั้งสองแห่งไม่ว่าจะเป็นโรงงานสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ กับ โรงงานเกตุเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีกำลังการผลิตรวม 385,000 คันต่อปี (ปี 2022 ผลิตรวม 360,000 คันต่อปี) มีพนักงานทั้งหมด 6,002 คน ด้วยทุนจดทะเบียน 8,500 ล้านบาท (ถือหุ้นโดย ISUZU Asia: 71.1%, TRI PETCH ISUZU SALES: 27.3% และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ: 1.6%)
ข้ามฟากมาที่ประเทศญี่ปุ่นเตรียมสร้างศูนย์พัฒนาและทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าภายในโรงงาน Fujisawa เพื่อเร่งการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ สอดคล้องกับข้อกำหนดความเป็นกลางทางคาร์บอน (CN) ภายในปี 2030 โดยศูนย์ดังกล่าวทดสอบและประเมินผลเพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (ฺBEV) ยานยนต์พลังไฮโดรเจนไฟฟ้า (FCEV) ทดสอบและประเมินผลสำหรับส่วนประกอบต่างๆ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และระบบระบายความร้อน ด้วยการดำเนินการจัดการขั้นสูงเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับปรุงระยะการขับขี่และสมรรถนะของตัวรถ ด้วยการบูรณาการการทำงานของทีมงานที่เกี่ยวเนื่องโดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้การพัฒนารถยนต์อีวีของ ISUZU รวดเร็วและสำเร็จและยังจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวเนื่องภายในโรงงาน Fujisawa ด้วยเช่นกัน โดยศูนย์พัฒนาและทดสอบฯจะกำหนดเปิดดำเนินการในเดือนมิถุนายน 2026
ISUZU มีจุดมุ่งหมายในการสร้างสรรค์นวัตกรรมขับเคลื่อนโลกเพื่อคุณ ด้วยการผสมผสาน “ความไว้วางใจ” และ “ความคิดสร้างสรรค์” เพื่อจะผลิตและให้บริการในฐานะผู้ผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ โดยการพัฒนาระบบขนส่ง การเดินทางที่เป็นมิตรต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนให้ธุรกิจบรรลุผลสำเร็จ ซึ่งจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นหลังนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจวบจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าวันนี้เราจะบรรลุผลสำเร็จไปอีกขั้น แต่เราจะยังคงให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุดให้แก่ลูกค้าตลอดไป
ขุมพลังดีเซลใหม่ทั้ง 2.2 ลิตร และ 3.0 Mild Hybrid จะตามมาใน ISUZU MU-X รุ่นปรับโฉม, X-Series รุ่นปรับโฉมและ D-MAX ช่วงปีหน้าหรือไม่นั้นเพื่อต้อนรับการมาของกฎเข้มงวดไอเสีย EURO5 ต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา Thailand Development Report, ISUZU