ออสเตรเลียเป็นที่แรกของโลกไปแล้วสำหรับ Toyota Hilux MHEV กระบะติดถ่านก้อนเล็ก Mild Hybrid ขายจริงช่วงต้นปี 2024
ล่าสุดกลุ่มประเทศยุโรปเป็นรายต่อไปที่จะเปิดตัวด้วยหน้าเดิมโฉมเดิมกับรุ่น Invincible รุ่นเดียวกับรุ่น ROCCO ไทยตั้งแต่ เสริมคิ้วขอบล้อให้หนาขึ้นรองรับการขยายความกว้างของล้อหน้าล้อหลังรวมถึงอออพชั่นเดิมทั้งกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม เสริมด้วยชุดการ์ดเสริมกันชนหน้าพร้อมขอบสีดำเข้มครอบทับกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม ไฟหน้า Bi-LED พร้อมไฟ LED Daytime ในโคมเดียวกัน ล้ออัลลอยลายขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 265/60R18 ไฟท้าย LED แบบเลข 3 Light Guiding ส่วนด้านท้ายทั้งฝากระบะท้ายและกันชนหลังยังคงเดิมมีสปอร์ตบาร์โครงเหล็กสีดำสุดเท่ และสัญลักษณ์ Invincible ท้ายรถและฝากระบะท้ายสองด้าน
ภายในเดิมๆแต่เพิ่มสวิตช์โหมดการลุย Multi-terrain Select พร้อมจอแสดงการทำงานรวมถึงแสดงการทำงานระบบ Mild Hybrid ในชุดมาตรวัด มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ TFT 4.2 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว เวอร์ชันใหม่รองรับการเชื่อมต่อและความบันเทิง Toyota Smart Connect แบบไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto, Bluetooth, T-Connect ช่องเสียบ USB พร้อมลำโพง 6 จุดนอกนั้นของเดิมทั้งแผงคอนโซลหน้าและแผงช่องแอร์หน้า ตกแต่ง ส่วนแผงประตูขึ้นรูปสีดำ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มหนัง กุญแจ Smart Key ปุ่ม Push Start เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา ช่องต่อไฟฟ้ากระแสสลับ AC 220V เบาะนั่งคนขับควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าปรับระดับ 8 ทิศทาง
ไฮไลต์เด็ดอยู่ที่ขุมพลังดีเซลติดถ่านหรือเรียกกันว่า Mild Hybrid (MHEV) โดยใช้พื้นฐานของดีเซลเทอร์โบแปรผันรหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600–2,800 รอบ/นาที พ่วงแบตเตอรี่ lithium Ion ก้อนเล็กสุดที่มีกำลังไฟ 48 V ซุกไว้ที่ใต้เบาะหลังน้ำหนักเบา 7.6 กิโลกรัม ทำหน้าที่ในการรับพลังงานจากเบรกรถกับมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมพละกำลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ส่งแรงทันใจโดยเฉพาะในช่วงออกตัว จังหวะเร่งแซงให้ดีกว่าให้กำลังเสริม 16 แรงม้า แรงบิด 65 นิวตันเมตร
ถึงแม้ว่าจะมีการเสริมทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทำให้ประหยัดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 5% เมื่อเทียบกับเครื่อง 2.8 เดิม ติดตั้งระบบหยุดการทำงานเครื่องชั่วคราวขณะเหยียบเบรกหรือ Start-Stop System ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น 5% และพัฒนารอบเดินเบาต่ำกว่าจาก 720 รอบต่อนาทีเหลือ 600 รอบต่อนาที ปรับความตึงของสายพานแบบสองแขนและพัฒนาส่วนประกอบของวัสดุสายพานให้ทนทานขึ้นทำให้การขับขี่เงียบขึ้นเครื่องไม่สั่นทนต่อสภาพถนนและอากาศทุกรูปแบบและความสามารถในการลากจูง 3,500 กิโลกรัมยังเช่นเดิม
จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Sequential Shift และ Paddle Shift ขับเคลื่อน 4 ล้อ Part Time แบบ Shift-On-The-Fly ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC และระบบเฟืองท้าย Diff-Lock ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มโหมดการลุยเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรด Multi-terrain Select เลือกได้ถึงหกโหมดทั้งโหมดทางฝุ่น Dirt, โหมดโคลน Mud, โหมดหิน Rock, โหมดทราย Sand, โหมดหิมะDeep Snow และโหมด Auto เลือกการทำงานเองโดยอัตโนมัติ
ความปลอดภัยจัดเต็มทั้งระบบเบรก ABS ,EBD และ BA ถุงลมนิรภัยรอบคัน ควบคุมการทรงตัว VSC ป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ควบคุมการส่ายเมื่อต้องต่อส่วนพ่วงท้าย TSC ควบคุมความเร็วบนทางลาดชัน DAC ช่วยออกตัวบนทางลาดชั่น HAC โครงสร้างนิรภัยแบบ GOA และความปลอดภัยขั้นเทพเวอร์ชันใหม่ Toyota Safety Sense ด้วยระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-Collision System (PCS) แม่นยำด้วยระบบตรวจจับคนเดินถนนเวลากลางคืน นักปั่นจักรยานเวลากลางวัน และยานพาหนะที่สวนมาหรือตรวจจับคนเดินข้ามถนนที่ทางแยก เตือนให้รักษาตำแหน่งเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน Lane Departure Alert (LDA) ไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive High Beam (AHB) ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) จดจำป้ายจราจร Road Sign Assist (RSA) และป้องกันการออกตัวแบบผิดวิธี Drive Start Control
Toyota Hilux MHEV นำเข้าจากโรงงาน Toyota South Africa Motors (Proprietary) Limited (TSAM) ที่เมืองเดอร์บัน จังหวัดควาซูลู-นาตัล ประเทศแอฟริกาใต้เริ่มขายยุโรปกลางปีหน้าหลังออสเตรเลีย ส่วนเมืองไทยพบกันแน่นอน
ที่มา Toyota Europe Newsroom
