หลังจากเผยภาพรุ่นปรับโฉมของ NETA V บนโลกออนไลน์ไปมีแฟนๆที่ชื่นชอบจำนวนมากต่างรอคอยอยากพบตัวจริงเสียทีว่ารถคคันนี้ปรับมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุดมีผู้ใช้ FB เผยภาพ NETA V รุ่นปรับโฉมวิ่งทดสอบแบบไม่พรางตัวติดป้ายทะเบียน QC แถวถนนร่มเกล้า พร้อมด้านท้ายใหม่ด้วยไฟท้าย LED ออกแบบใหม่แบบทรูไทป์พร้อมไฟถอยหลังในตัวแบบแนวยาวรับกับฝาท้ายดีไซน์ใหม่พร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED จุดสังเกตนอกจากท้ายออกแบบใหม่แล้วยังมีที่ปัดน้ำฝนด้านท้ายติดตั้งมาให้จากโรงงาน กันชนหลังออกแบบใหม่มีแผงสะท้อนแสงสีแดงใหม่กับคิ้วขอบแผงไฟสะท้อนแสง กระจกมองข้างทรงสปูน ล้ออัลลอยลายเดิมขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 185/65 R16 ด้านหน้าเปลี่ยนในส่วนกันชนหน้าออกแบบมีช่องคล้ายช่องระบายอากาศใหญ่ขี้นมีช่องเล็กๆซ้าย-ขวาใหม่ เสริมคิ้วสีเงินใต้กันชนหน้าหล่อด้วยไฟหน้า Projector และไฟ DRL LED ในโคมเดียวกันแบบ Eagle-eye Laser โดมเดิมมีระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
มิติตัวรถตั้งแต่ ความยาว 4,070 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,690 มิลลิเมตร ความสูง 1,540 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,420 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 130 มิลลิเมตร
เวอร์ชันไทยจับตาแล้วว่าจะได้โทนสีการตกแต่งทั้งสีขาว-ดำ สีดำล้วนและสีขาว-น้ำเงิน หรือไม่ ด้านออปชันคงเดิมทั้งกุญแจแบบสมาร์ทคีย์ที่มีระบบ Ride & Go ให้รถพร้อมสำหรับการขับขี่ทันทีที่เปิดประตูรถหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 14.6 นิ้วล้ำสมัยด้วยระบบการสั่งการระบบการทำงานต่างๆของรถพร้อมเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน IOS และ Android ลำโพง 6 จุด มาตรวัดแบบดิจิตอลขนาด 12 นิ้วแนวยาว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 2 ก้าน และเบาะหลังสามารถพับได้แบบ 100% พื้นที่มากถึง 588 ลิตรและถ้าไม่พับเบาะมีพื้นที่ 335 ลิตร
ขุมพลังไฟฟ้าอาจยกมาจากรุ่นก่อนหน้าด้วย แบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 40.7 kWh ชนิด LFP (Lithium-ion Phoshate )(เดิม 38.5 kWh) แต่กำลังยังเท่าเดิมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตันเมตร และยังให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุดเท่าเดิม 384 กม./ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ความเร็วสูงสุด 121 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP67 มีระบบจัดการอุณหภูมิแบตเตอรี่ HEPT 3.0 ระบายความร้อนแบบ LIQUID COOLING SYSTEM รองรับการชาร์จกระแสสลับ AC Normal Charge จาก 0-100% ในระยะเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงและการชาร์จกระแสตรง DC Quick Charge จาก 30-80% ในระยะเวลาประมาณ 30 นาที ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ พร้อมโหมดการขับขี่ทั้งแบบ Sport และ Normal
อีกหนึ่งที่น่าจับตาว่าเวอร์ชันไทยจะได้ระบบความปลอดภัยครบเหมือนจีนไหมทั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ L2 intelligent driving assistant ที่ประกอบด้วย เรดาร์ 1 ตัว, กล้อง 1 ตัว, เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ประกอบด้วย ล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ full-speed adaptive cruise (ACC) เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ automatic emergency braking (AEB) ช่วยการจอดอัตโนมัติ automatic parking Assist (APA) เข้าจอดรถอัตโนมัติด้วยรีโมท One-touch Remote Parking (RPA) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ Full Speed Traffic Jam Assist (TJA) ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ Forward Collision Warning (FCW) แจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีสิ่งกีดขวางอยู่หน้ารถ Pedestrian Collision Warning (PCW)
ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assist (LKA) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW) ปรับไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะ Intelligent High/Low Beam (HBA) เตือนมุมอับสายตา Blind Spot Warning (BSD) อ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition (TSR) จดจำสัญญาไฟจราจร Traffic Signal Light Recognition (TLR) แจ้งเตือนการสตาร์ทรถ Front Car Start Reminder (SGW) และเตือนง่วงขณะขับขี่ Drowsy Driving Reminder (DDW)
ตามแผนNETA V ประกอบที่โรงงานบางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี จะสามารถเริ่มการผลิตเป็นรุ่นแรกได้ในภายในต้นปี 2024 คาดว่าตั้งเป้าการผลิต 250,000 คันต่อปี ความคืบหน้าของโรงงานเดินหน้าไปแล้วกว่า 80% ทั้งโครงสร้างและเครื่องจักร เมื่อภาพออกมาแบบนี้มาลุ้นกันกว่าเจ้าโลมาน้อยหน้าใหม่จะมาโชว์ตัวในงาน Motor Expo 2023 ตั้งแต่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคมหรือไม่และถ้ามาจริงช่วงปีหน้าราคาจำหน่ายจะเข้าข่ายมาตรการส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าในไทยเวอร์ชันใหม่ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ลดสูงสุด 50,000 บาท หรือไม่ต้องติดตาม
ที่มาภาพ ArtMedia Return