More

    ORA Good Cat น้องเหมียวประกอบไทยราคาน่ารักเริ่ม 799,000 บาท

    เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ ORA Good Cat น้องเหมียวสุดน่ารักประกอบในประเทศไทยอย่างเป็นทางการขานรับมาตรการสนับสนุนการใช้รถอีวี ZEV 3.0 ORA

    น้องเหมียวแสนดีสุดน่ารักเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ GWM ที่ประกอบในไทยโดดเด่นด้วยแนวคิดการออกแบบ “Retro Futuristic” ที่เป็นเอกลักษณ์ มอบความทันสมัยผสมผสานกับกลิ่นอายสไตล์เรโทรเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้านนอกคงเดิมตั้งแต่ไฟหน้าทรงกลมทรง Cat Eye แบบ LED พร้อม Daytime Running Light และไฟส่องสว่างหลังดับเครื่องยนต์ Follow Me Home ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 215/50R18 ไฟท้ายแนวยาว LED ครอบทับกระจกหลังช่วยให้มองเห็นชัดเจนขึ้นท้ายรถที่เรียบง่ายและสปอยเลอร์หลังดีไซน์เก๋ไก๋ หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ตัวรถมีขนาดใหญ่โตออกแบบมาอย่างลงตัวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถ

    ORA

    ทางด้านรุ่น GT มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่เน้นพละกำลังและความสปอร์ต มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สะท้อนเอกลักษณ์และความเท่ของผู้ขับขี่อย่างมีสไตล์ตอบสนองการขับขี่ที่เร้าใจด้วยกระจังหน้าดีไซน์สปอร์ตลายคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนด้านหลังโดดเด่นด้วยสปอยเลอร์ดีไซน์โฉบเฉี่ยวพร้อมตราสัญลักษณ์ GT สีเหลือง ล้ออัลลอยทูโทนขนาด 18 นิ้ว ขลิบเหลืองใหม่พร้อมยางขนาด 215/50 R18 มาพร้อมกับดิสก์เบรกคาลิปเปอร์สีเหลืองใหม่จากเดิมสีแดง ชุดแต่งสเกิร์ตหน้ากับหลัง และประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าระบบแฮนด์ฟรี

    มิติตัวรถความยาว 4,235-4,254 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,825-1,848 มิลลิเมตร ความสูง 1,596 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร และความสูงใต้ท้องรถ 145 มิลลิเมตร จากแพลตฟอร์ม GWM LEMON E PLATFORM

    ORA

    ภายในเริ่มที่รุ่น GT ตกแต่งใหม่ด้วยสีเหลือง-ดำอันเป็นเอกลักษณ์ (เดิมสีแดง-ดำ) ส่วนรุ่นอื่นๆทั้ง PRO กับ ULTRA มาพร้อมโทนภายในใหม่ขึ้นอยู่กับสีภายนอกทั้งสีดำ สำาหรับสีขาวพร้อมหลังคาสีดำ (Hamilton White with Black Roof)และ สีขาว (Hamilton White) สีเขียว-เบจ  สำหรับตัวรถสีเขียว (Pistachio Green)  สีเขียว-เทา สำหรับตัวรถสีเขียวพร้อมหลังคาสีขาว (Verdant Green with Hamilton White Roof) และ สีเบจ-น้าตาล -สำหรับตัวรถสีเบจพร้อมหลังคาสีน้ำตาล (Hazel Wood Beige with Wisdom Brown Roof และจุดเปลี่ยนแปลงในรุ่นประกอบเกียร์อัตโนมัติย้ายมาที่ก้านคอพวงมาลัยหรือเรียกว่าเกียร์คอช่วยในการปรับเปลี่ยนและควบคุมรถให้ง่ายขึ้น และย้ายสวิตช์ที่ปัดน้ำฝนไปรวมกับสวิตช์ไฟเลี้ยว

    ORAนอกนั้นคงเดิมภายใต้แนวคิด “Intelligent Cockpit with Exquisite Craftsmanship” ด้วยหน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูง แบ่งออกเป็น หน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิตอล (Full TFT) ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอระบบมัลติมิเดียพร้อมระบบสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน ฟังเพลง วิดีโอ รองรับ Apple CarPlay และ Siri รองรับ Android Auto และ Google Assistant ระบบนำทางรองรับแอปพลิเคชั่นเพลง เช่น JOOX พร้อมลำโพง 4 จุดในรุ่น PRO และ 6 จุด ในรุ่น ULTRA และ GT

    พร้อมวัสดุภายในห้องโดยสารให้สัมผัสที่สบาย โดยใช้วัสดุที่มีคุณภาพในการตกแต่งภายในด้วยดีไซน์ที่สวยงาม เบาะนั่งปรับด้วยระบบไฟพร้อม Welcome Seat ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้า-ออกจากรถได้อย่างง่ายดายและระบบเบาะนวดไฟฟ้า เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ ในรุ่น ULTRA และ GT เบาะหลังสามารถพับลงได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้สูงสุดถึง 858 ลิตร

    ORAระบบ Cockpit Cleaning System พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 ช่วยเปิดการไหลเวียนของอากาศจากภายนอกเพื่อระบายอากาศและช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 เมื่อเข้าสู่ห้องโดยสาร และออปชันให้ความสบายๆทั้ง Wireless Charger อัปเกรดใหม่จ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 50 วัตต์ เพื่อการชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น เพิ่มช่องต่อ USB ประเภท TYPE A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และประเภท TYPE A สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 2 ก้าน และฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ เช่น ระบบความบันเทิงในรถยนต์ ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ และเทคโนโลยีสำหรับการขับขี่อันล้ำสมัย การอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA)

    ตอบโต้ด้วยเสียงอัจฉริยะผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) การสั่งการและควบคุมรถจากระยะไกล พร้อมฟังก์ชั่นอื่นๆทั้ง ฟังก์ชันการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ฟังก์ชันการใช้งานที่สามารถสั่งการและควบคุมได้จากระยะไกล ฟังก์ชันด้านความปลอดภัย ที่สามารถสั่งการและควบคุมได้จากระยะไกล เช่น การแสดงตำแหน่งรถยนต์ การกำหนดรัศมีการใช้งานรถ และการแสดงผลการตั้งค่าต่างๆ ของรถ เป็นต้น

    ORAขุมพลังในเวอร์ชันประกอบไทยเริ่มที่มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร กับความจุแบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) 47.788 kWh ในรุ่น PRO และ 63.139 kWh ในรุ่น ULTRA มาเป็นความจุเดียว 57.70 kWh จากค่าย SVOLT ให้ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางวิ่งจากเดิม 400 กิโลเมตรในรุ่น PRO และ 500 กิโลเมตร ในรุ่น ULTRA ยุบรวมมาใช้ระยะทางวิ่งไกลต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเดียวกันคือ 480 กิโลเมตร ตามาตรฐาน NEDC

    และรุ่น GT ยังให้กำลังเท่าเดิมคือ 171 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เปลี่ยนความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ Lithium-Ternary (NMC) 63.139 kWh มาเป็นลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ขนาด 57.70 kWh กับ มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor วิ่งไกลสูงสุดจาก 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งมาเป็น 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC

    เทคโนโลยีที่อัดแน่นเปี่ยมประสิทธิภาพ รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) สูงสุด 70 kW โดยชาร์จแบบเร็ว DC (0%–80%) เร็วขึ้นถึง 54 นาที และ DC (30%–80%) เร็วขึ้นถึง 38  นาที และการชาร์จแบบธรรมดาด้วยไฟฟ้ากระแสสลับด้วยการชาร์จไฟบ้านแบบ AC สูงสุด 6.6 kW เร็วขึ้นถึง 9 ชั่วโมง

    พร้อมระบบขับขี่ทั้งหมด 6 แบบ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับได้เองตามปริมาณแบตเตอรี่ที่คงเหลือได้แก่ Standard, Sport, ECO, ECO+ , AUTO และ Presonal เฉพาะรุ่น GT พร้อมความสามารถการกู้คืนพลังงาน (Energy Recovery) ได้สามระดับ ได้แก่ น้อย, มาตรฐาน และมาก เพื่อการประหยัดพลังงาน และใหม่ระบบจ่ายกระแสไฟ V2L (3300W) ระบบจ่ายกระแสไฟแก่อุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในทุกที่ที่เดินทาง เฉพาะรุ่น ULTRA และ GT

    ORAระบบความปลอดภัยจัดเต็มทั้ง ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัย (Driver Assistance and Safety Systems) สำหรับการขับขี่แบบอัตโนมัติในระดับ L2+ ทั้ง ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) การเบรกฉุกเฉินความเร็วต่ำ ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)

    ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) การเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent Turn) ช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) ตรวจความดันลมยาง (TPMS) กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ประกอบไปด้วยกล้องที่มองได้รอบ 4 ตัว ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IAP) ช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM) ความปลอดภัยเชิงแก้ไข (Passive Safety) ทั้ง โครงสร้างตัวถัง ทำจากเหล็กกล้า IronBone™ สามารถดูดซับและลดแรงกระแทกเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลักถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และระบบโทรหาเบอร์ฉุกเฉิน

    ORA

    ORA Good Cat ที่ผลิตจากโรงงานอัจฉริยะในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสและเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคุณภาพจากฝีมือคนไทยโดยราคาจำหน่าทั้งสามรุ่นย่อยถูกลงกว่าเดิมดังนี้

    • รุ่น PRO ราคา 799,000 บาท (ถูกลงกว่าเดิม 29,500 บาท)
    • รุ่น ULTRA ราคา 899,000 บาท (ถูกลงกว่าเดิม 60,000 บาท)
    • รุ่น GT ราคา 1,099,000 บาท (ถูกลงกว่าเดิม 187,000 บาท)

    โดยรุ่น PRO และ ULTRA มีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาว (Hamilton White) สีขาวหลังคาสีดำ (Hamilton White with Black Roof) ซึ่งทั้งสองสีนี้จับคู่กับภายในสีดำ, สีเขียวหลังคาสีขาว (Verdant Green with White Roof) พร้อมสีภายในสีเขียวและเทา, สีเบจหลังคาสีน้ำตาล (Hazel Wood Beige with Brown Roof) พร้อมสีภายในสีเบจและน้ำตาล และสีเขียว พิสตาชิโอ (Pistachio Green) พร้อมสีภายในสีเขียวและเบจส่วน ORA Good Cat GT มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (Sun Black) และสีเทา (Aqua Grey) ซึ่งทั้งสองสีนี้จับคู่กับภายในสีดำและเหลือง พร้อมอุปกรณ์แต่งสปอร์ตสีเหลือง

    ORAพร้อมส่งมอบภายในเดือนมกราคม นี้ แฟน ๆ ชาวไทยที่สนใจสามารถจับจองเป็นจ้าของได้ที่ GWM application และเว็บไซต์ www.gwm.co.th ได้ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2567 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไปพร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

    • ดอกเบี้ย 1.85%* เมื่อดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน
    • ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปีเต็ม
    • ฟรี GWM โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง (สำหรับรุ่น ULTRA และ GT) สำหรับรุ่น PRO รับสิทธิ์ซื้อโฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง ราคาพิเศษเพียง 25,000 บาท (จากราคาปกติ 60,000 บาท)
    • ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง GPSI ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
    • ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี
    • ฟรี บริการ ระบบตรวจสอบและสั่งการรถผ่านอินเตอร์เน็ต (Telematic Service) พร้อมแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts