ทำตลาดญี่ปุ่นมา 2 ปี ขายดิบขายดีจนกลายเป็นรถครอบครัวยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นและบางประเทศที่เช้าไปจำหน่ายสำหรับ Nissan Serena เจนเนอเรชันที่ 6 รหัส C28 และเมืองไทยเตรียมเผยเร็วๆนี้
ภายนอก Exterior
และหลังจากเปิดตัว Nissan Serena MY2025 หรือรุ่นปรับปรุงใหม่ได้ไม่นานล่าสุดเพิ่มทางเลือกด้วยการแนะนำรุ่น e-Power ขับเคลื่อน 4 ล้อ e-4ORCE หล่อสปอร์ตทั้งคันด้วยกระจังหน้ารูปตัววีดีไซน์เรียบง่ายพร้อมโลโก้ Nissan ไฟหน้า LED สามดวงแนวตั้งพร้อมปักชื่อ Serena บนขอบไฟหน้า มีไฟ DRL แบบ LED ชุดกันชนหน้าพร้อมไฟตัดหมอกหน้าดวงเล็กแบบ LED
ชุดแต่งสีดำให้เลือกในตำแหน่งหลังคารถและกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ที่เปิดประตูโครเมียมพร้อมประตูสไลด์เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าด้วยการแกว่งเท้าใต้ท้องรถ เสา A มีกระจกขนาดเล็กแบบเดียวกับเจนที่แล้วครอบสีดำ ที่ครอบทับฝาท้ายส่วนบนกระจกท้ายเสา C กับ D แบบตัววี
ฝาท้ายแบบ DUAL BACK DOOR เปิดได้ 2 ส่วนทั้ง ครึ่งบานส่วนบนและทั้งบานเต็มๆ ติดตั้งคิ้วเล็กสีดำปะชื่อ Serena คิ้วใหญ่กรอบป้ายทะเบียนโครเมียม ติดตั้งกันชนหลังแผงทับทิมแนวตั้งและสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ ไฟท้าย LED แนวตั้งแบบ Boomerang และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/65 R16 ตัวรถใหญ่ขึ้นตั้งแต่
- ความยาว 4,765 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,715 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,870 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,870 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,810 กิโลกรัม
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 150 มิลลิเมตร
- ความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร
ภายใน Interior
ภายในเสริมหรูด้วยชุดเบาะนั่ง 7 ที่นั่ง 2+2+3 และ 8 ที่นั่ง 2+3+3 หุ้มหนังและผ้า เบาะนั่งปรับสูงต่ำได้แบบ Zero Gravity พร้อมเบาะนั่งตอนที่ 2 แบบ Captain Seats สามารถเลื่อนได้ เบาะนั่งตอนที่ 3 พับแบบ 50:50 แขวนบนเสา D ที่วางแก้วมากถึง 17 จุด แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ที่ต่างจากเจนที่แล้ว กับมาตรวัดขนาดใหญ่พร้อมจอ MID ขนาด 12.3 นิ้ว
จอ Touch Screen ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว รองรับระบบความบันเทิง Infotainment รองรับ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto กับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน เครื่องปรับอากาศปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวา ด้านหลังแบบ Triple Zone ปุ่มเกียร์อัตโนมัติในตัว ที่ชาร์จมือถือไร้สาย ปุ่ม Push Start และช่องเสียบ USB Type C
สมรรถนะ Performance
ขุมพลังเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์เบนซิน e-Power รหัส HR14Dde ที่พัฒนาจาก HR12DE มาขยายความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชักยาวขึ้นเป็น 78.0 x 100.0 มิลลิเมตร (เดิม 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร) ขนาด 1.4 ลิตร ให้กำลังถึงให้กำลังถึง 98 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 123 นิวตันเมตรที่ 5,600 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ารุ่น EM 57 Synchronous Motor และแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ขนาด 1.769 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังรวมสูงสุด 163 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 315 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาทีประหยัดสุด 19.3-20.6 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
ส่วนรุ่นใหม่ขับเคลื่อน 4 ล้อ e-4ORCE เทคโนโลยีที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับล้อทั้งสี่ ให้ความสมดุลในประสิทธิภาพที่ทรงพลังพร้อมรองรับการขับขี่ในทุกสภาพอากาศ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ทำให้การขับขี่มีความสมดุลและมั่นคงด้วยพลังระดับรถสปอร์ตในพริบตา
สำหรับรุ่นใหม่นี้ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ แรงม้า แรงบิด เท่ากัน มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ากำลังเท่ากันแตว่าเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง MM48 AC3 Synchronous Motor ให้พลัง 82 แรงม้าที่ 4,897-9,504 รอบต่อนาที แรงบิด 195 นิวตันเมตรที่ 0-4,897 รอบต่อนาที ให้พลังรวมมากขึ้นเป็น 245 แรงม้าที่ 9,398 -16,926 รอบต่อนาที เพิ่มแรงบิดเป็น 510 นิวตันเมตรที่ 0-8,402 รอบต่อนาที
ประหยัดสุด 16.1-17.0 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC ทั้ง 2 ขุมพลังมาพร้อมระบบ e-Pedal ซึ่งใช้คันเร่งในการกดเร่งแซงและชะลอความเร็วในชุดเดียวกัน จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction พร้อม 3 โหมดการขับขี่ ECO, Standard, Sport
และยังมีเบนซินล้วน 2.0 ลิตร รุ่น MR20DD กำลังสูงถึง 150 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ
ความปลอดภัย Safety
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control–ICC)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist -LKA)
- แจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ (Lane Departure Warning -LDW)
- ช่วยป้องกันรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Prevention -LDP)
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor–IAVM) ทำงานร่วมกับเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection–MOD) พร้อมกล้องมองหลัง
- เตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning–IFCW)
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking–IEB) พร้อมตรวจจับคนเดิน และคนปั่นจักรยาน
- ป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention – IBSI)
- เตือนมุมอับสายตา ( Blind Spot Warning – BSW)
- เตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert–RCTA)
- กระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror-IRVM)
- ปรับไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist-HBA)
- เตือนการขับขี่เมื่อยล้าอัจฉริยะ (Intelligent Driver Attention Alert-IDAA)
- ช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist–HSA)
- ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control–VDC)
- ถุงลมนิรภัย SRS รอบคัน 6 จุด
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts)
- เบรก ABS, EBD, BA และดิสก์เบรก 4 ล้อ
- ไฟเบรกดวงที่สามพร้อมไฟ LED สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
พร้อมระบบ ProPILOT 2.0 หรือระบบช่วยขับกึ่งอัตโนมัติ ระบบช่วยบังคับเลี้ยวเพื่อหลีกเลี่ยงการชน” ควบคุมการบังคับเลี้ยวของผู้ขับขี่เมื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางด้านหน้า และ ProPILOT Parking พ่วงระบบหน่วยความจำที่สามารถบันทึกตำแหน่งที่จอดรถเมื่อจอดรถแล้ว และ Propilot Remote Parking ช่วยให้รถสามารถเข้าและออกได้ด้วยรีโมทคอนโทรล สามารถเข้าและออกจากพื้นที่จอดรถที่แคบๆแบบสบายๆ
Nissan Serena MY2025 รุ่น e-Power e-4ORCE ขับเคลื่อน 4 ล้อขายญี่ปุ่น 3 รุ่นย่อยด้วยรุ่น e-4ORCE X, รุ่นe-4ORCE XV และรุ่น e-4ORCE Highway Star V ในราคาเริ่มต้น 3,614,600- 4,088,700 YEN หรือราว 819,000-925,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้ารวมภาษีนำเข้าเข้าไปราคาจะอยู่ที่ 2,355,000-2,664,000 บาทมีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้
พร้อมสีภายนอกใหม่ 3 ทั้งโมโนโทนและทูโทนด้วย สีน้ำตาล Crystal Brown, สีน้ำตาลกรอบเสา A สีดำ Crystal Brown/Rikyu Roof two-tone และ สีน้ำตาลกรอบเสา Aและหลังคารถสีดำ Crystal Brown/Rikyu Roof Hood two-tone
ที่มา Carwatch