ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว Mazda ยุติการผลิต MX-30 EV ในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากยอดขายไม่ดี โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มีการขายเพียง 66 คันเท่านั้น ในขณะที่ในปี 2022 มีเพียง 324 คันเท่านั้น แต่สำหรับในญี่ปุ่น MX-30 ยังคงเดินหน้าต่อไปใน 3 รูปแบบระบบส่งกำลัง ได้แก่ BEV, range-extender และ MHEV และได้รับการอัปเดตด้วยรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Retro Sports Edition
การตกแต่งพิเศษเริ่มที่ภายนอก ที่มีการตกแต่งด้วยสีดำหลายจุด รวมถึงกระจกมองข้างและล้อ ซึ่งตัดกันด้วยสีใหม่ 3 สีที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน หนึ่งในสีเหล่านี้มีเฉดสีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดินเผา ซึ่งทำให้ MX-30 ดูน่าสนใจขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารของรถ SUV ยังมีคุณสมบัติใหม่ๆ อีกด้วย
การอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดคือการติดตั้งจอแสดงผลข้อมูลความบันเทิงขนาดใหญ่ 10.25 นิ้วแทนที่หน้าจอขนาด 8.8 นิ้วที่พบใน MX-30 รุ่นรองท็อป หน้าจอใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto แบบมีสาย นอกจากนี้ Mazda ยังเลิกใช้พอร์ต USB-A แบบเก่าแล้วหันมาใช้ USB-C แทน
Retro Sports Edition มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยใหม่ๆ มากมาย เช่น ระบบตรวจจับด้านหน้าสามารถระบุคนเดินถนนได้แล้ว และยังมีระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ใหม่ด้วย ผู้ที่มักจะทิ้งลูกไว้ที่เบาะหลังก็จะรู้สึกดีใจที่ทราบว่าตอนนี้มีระบบแจ้งเตือนที่เบาะหลังแล้ว
มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย รวมถึงระบบแจ้งเตือนและสตาร์ทเครื่องยนต์จากระยะไกล ซึ่งช่วยให้สตาร์ทและหยุด MX-30 ได้โดยใช้แอป My Mazda และเจ้าของรถยังสามารถใช้แอปเพื่อปรับการตั้งค่าระบบปรับอากาศจากภายนอกรถ SUV ได้อีกด้วย
Mazda MX-30 Retro Sports Edition
- รุ่นเริ่มต้นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบพร้อมระบบ mild-hybrid จะมีราคาอยู่ระหว่าง 2,935,900 – 3,407,000 เยน หรือประมาณ 6.51 – 7.56 แสนบาท
- รุ่นขยายระยะทางนั้นมีตั้งแต่ 4,356,000 – 4,942,300 เยน หรือประมาณ 9.67 แสน – 1.09 ล้านบาท
- ในขณะที่ MX-30 EV ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงนั้นมีราคาเริ่มต้นที่ 4,669,500 เยน – 5,211,800 เยน หรือประมาณ 1.03 – 1.15 ล้านบาท
Source: Carscoops
