นับถอยหลังการมาของ MG ZS Hybrid+ เอสยูวีเจนใหม่พลังฟูลไฮบริดที่จะเป็นความหวังของหมู่บ้านที่จะทำให้ชาวไทยได้รับการตอบรับอย่างล้มหลาม
ล่าสุดออสเตรเลียเปิดราคาจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ MG ZS Hybrid+ เจเนอเรชันที่ 2
หน้าตาทั้งคันใหญ่กว่าเจนปัจจุบันหล่อหรูด้วยไฟหน้า LED ทรงสปอร์ตด้านหน้าด้วยช่องระบายอากาศทรงรังผึ้งขนาดใหญ่ในชุดกันชนหน้าพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED โลโก้ MG ติดบนกระจังหน้ากริตเตอร์ขอบใหญ่ขอบสีเดียวกับตัวรถประกบไฟหน้า LED ทรงสปอร์ต ด้านข้างกลมกลืนด้วยเส้นสายลงตัว พร้อมกระจกมองข้างติดไฟเลี้ยวที่เปิดประตูดึงก้าน ราวหลังคาสีเงิน พร้อมหลังคาซันรูฟ
ไฟท้าย LED แบ่งเป็นสองฝั่งไม่แนวยาว ย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนท้ายมาอยู่ข้างๆไฟท้าย พร้อมกันชนหลังดีไซน์เท่ ล้ออัลลอยดีไซน์หรูสง่าตั้งแต่ขนาดใหญ่ 18 นิ้ว ยาง 215/50R18 และมีขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55 R17 ตัวรถใหญ่ทุกมิติดังนี้
- ความยาว 4,430 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,818 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,635 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,610 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 161 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 1,390-1,400 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 41 ลิตร
มีความคล้ายกับรุ่น ZS เจนปัจจุบันในส่วนของช่องแอร์คู่ขอบสีเงินตรงบริเวณชุดแผงคอนโซลหน้าส่วนกลางกับจอสัมผัสระบบความบันเทิงขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วรองรับความบันเทิงใหม่ทั้ง GPS navigation, Android Auto, and Apple CarPlay พร้อมลำโพง 6 จุด
มาตรวัดดิจิทัลแสดงผลอัจฉริยะ (Digital Multi-function Display) ขนาด 12.3 นิ้วภายในมาตรวัดมีจอ MID 7 นิ้วถัดลงมาเป็นปุ่มการทำงานของตัวรถแบบเปียโนมีความคล้ายกับ MG3 เจนใหม่และ MG4 Electric กิ๊ปด้ามเกียร์อัตโนมัติดีไซน์ใหม่ขอบสีเงิน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านดีไซน์สวย ช่องเสียบ USB 4 จุด ที่ชาร์จมือถือไร้สาย และเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมช่องแอร์ด้านหลัง
มีระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART สั่งการผ่านคำสั่งเสียงหรือควบคุมการทำงานของระบบต่างๆผ่านสมาร์ทโฟนเชื่อมต่อโลกออนไลน์เลือกฟังเพลงได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และสตรีมมิ่งค้นหาร้านอาหารสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมนำทางและรายงานการจราจรแบบ Real Time
รวมทั้งการอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติสั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถค้นหารถด้วยระบบ Find My Car ช่วยค้นหาศูนย์บริการรวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถสามารถสื่อสารกันได้เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
เบาะนั่งมาแบบ 5 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งฝั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทางทั้งแบบธรรมดาและไฟฟ้าพร้อมดันหลัง Lumbar Support เบาะคนนั่งปรับธรรมดา 4 ทิศทาง เบาะหลังพับได้แบบ 60/40 โดยมีพื้นที่วางของหลังพับเบาะมากถึง 1,457 ลิตร แต่ถ้าไม่พับเบาะมีพื้นที่ 443 ลิตร
ขุมพลังยกมาจาก MG3 Hybrid+ ปรับเรี่ยวแรงใหม่โดยเฉพาะขุมพลังฟูลไฮบริดจากเบนซินรหัส 15S4C ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-cycle กำลังสูงถึง 102 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 128 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังถึง 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion ขนาดความจุ 1.83 kWh เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้ารวมสูงสุด 215 แรงม้า แรงบิดรวม 465 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.7 วินาที ประหยัดสุด 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Three-speed
พร้อมการขับขี่ที่สามารถเลือกโหมดได้สามโหมด Eco, Standard และ Sport สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าเพียวๆ 80 กิโลเมตร และยังมีโหมดการขับขี่พิเศษ Hybrid+ เลือกได้แบบอัตโนมัติทั้ง EV, Series, Series and Charge, Drive and Charge และ Parallel
ระบบชาร์จในระหว่างขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) หรือ KERS (Kinetic Energy Recovery System) สามารถสามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ
ความปลอดภัยมาครบทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมความปลอดภัยอัจฉริยะ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุดังนี้
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน AEB (Active Emergency Braking with pedestrian and bicyclist detection)
- เตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
- ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)
- ควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA (Intelligent Cruise Assist)
- เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- สัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- เบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)
- เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizerและไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)
MG ZS Hybrid+ สานต่อความสำเร็จในด้านความนิยมทั้งด้านยอดขายและชมชอบมานานเปิดขายที่ออสเตรเลียในราคาเริ่มต้น $33,990-$36,990 หรือราว 769,000-835,000 บาท ส่วนเมืองไทยพบกันปีหน้า
ที่มา CAREXPERT