More

    Ford Ranger Raptor Extra Pack V6 ตัวดุเข้มพิเศษ 1.984 ล้านบาท

    และก็มาถึงรุ่นท็อปสุดในตระกูล Ranger Extra Pack กับ Ford Ranger Raptor Extra Pack V6 ฮาร์ดคอร์ปิกอัพพลังโหดแต่งดุดันไม่เกรงใจใคร

    Ford

    Ford Ranger Raptor Extra Pack V6 ปรับลุคเสริมความแกร่งจริงดุดันทุกสถานการณ์ ด้วยสปอร์ตบาร์สุดเท่สร้างความโดดเด่นพร้อมเพิ่มลวดลายแสดงสุดยอดแห่งขุมพลัง ด้วยสติกเกอร์ลายใหม่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแร็พเตอร์ ตั้งแต่ด้านข้างประตูคาดเส้นสายและลวดลายโชว์ความแข็งแกร่งไปจนถึงด้านท้ายกระบะ

    ภายนนอกเดิมๆ

    เริ่มที่ที่ไฟหน้ารูปตัว C แบบ Matrix LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime running lights แบบ LED เพิ่มประสิทธิภาพส่องสว่างมากขึ้น ตัวอักษร F-O-R-D ขนาดใหญ่บนกระจังหน้า​ กันชนที่เป็นอิสระ โดดเด่นด้วยไฟเลี้ยวแบบไดนามิก ไฟสูงแบบตัดแสงปรับระดับแสงแบบอัตโนมัติเพื่อให้แสงสว่างที่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED แผ่นโลหะกันกระแทกใต้ท้องรถชนิดพิเศษ Raptor

    ช่องลมข้างบังโคลนสีเทาเข้มนอกจากความสวยงามและยังมีประโยชน์ด้านอากาศพลศาสตร์เช่นเดียวกับการออกแบบพื้นผิวทั้งหมด กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว และที่เปิดประตูดึงก้านสีเดียวกับตัวรถ บันไดข้างดีไซน์ใหม่ทำจากอะลูมิเนียมที่แข็งแรง ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Performance All-Terrain BF Goodrich K02 High T285/70 R17 เท่และดุดันภายใต้ซุ้มล้อสีเทาเข้มสะดุดตา

    ด้านหลังใช้ไฟท้าย LED กันชนหลังสีเทาเข้มมีบันไดเหยียบเพื่อขึ้นกระบะท้าย และชุดลากในตัวที่ติดตั้งในตำแหน่งสูงเพื่อเพิ่มมุมจาก พื้นปูกระบะท้าย พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) ฝาท้ายแบบผ่อนแรง Easy Lift และท่อไอเสียคู่

    การใช้แชสซีอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจาก Ranger รุ่นปกติ เพิ่มการประกอบและอุปกรณ์เสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสาซี กระบะท้าย ล้ออะไหล่ ไปจนถึงโครงรถแบบพิเศษที่พร้อมรองรับแรงกระแทกจากกันชน ขายึดโช้ค และฐานยึดโช้คหลัง ส่งผลให้ตัวรถใหญ่ขึ้นทุกมิติดังนี้

    • ความยาว 5,360 มิลลิเมตร
    • ความกว้าง 2,028 มิลลิเมตร
    • ความสูง 1,926 มิลลิเมตร
    • ฐานล้อ 3,270 มิลลิเมตร
    • ระยะต่ำสุดจากพื้น 272 มิลลิเมตร
    • น้ำหนักรถ 2,510 กิโลกรัม
    • ระยะต่ำสุดจากพื้น 272 มิลลิเมตร
    • ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
    • ความสามารถในการลากจูง 2,500 กิโลกรัม และความสามารถในการลุยน้ำ 850 มิลลิเมตร

    Ford

    ภายในดุดัน

    ด้วยห้องโดยสารออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้เบาะที่นั่งแบบสปอร์ตคู่หน้า มอบทั้งความสบายและกระชับแม้รถวิ่งด้วยความเร็วบนทางโค้งตกแต่งด้วยโทนสีส้ม Code Orange บนแผงหน้าปัด การตัดขอบชิ้นส่วนหลักๆในห้องโดยสาร รวมถึงบนเบาะที่นั่งแบบสปอร์ตหุ้มหนังแท้และหนังสังเคราะห์ คู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง เสริมความหรูหราอีกขั้นด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หนังเกรดพรีเมียมจับกระชับมือพร้อมแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัยหรือ On-CENTRE mark กับแป้น Paddle Shift เคลือบแมกนีเซียมโดยตัดฟังก์ชันการทำงานของพวงมาลัย

    Ford

    โดดเด่นยิ่งขึ้นอีกเมื่อเปิดไฟส่องสว่างสีอำพันอบอุ่นภายในห้องโดยสาร มาตรวัดดิจิทัลความชัดเจนสูงขนาด 12.4 นิ้ว จอแบบสัมผัสตรงกลางแบบ Multi-Touch 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อและระบบความบันเทิงผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A® รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Wireless Apple CarPlay® และ Android Auto™ เชื่อมต่อบลูทูธ และ ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A

    มอบประสบการณ์เสียงเหนือระดับระหว่างการผจญภัยด้วยลำโพง Bang & Olufsen® 10 จุด แท่นชาร์จไร้สาย กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาพร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Upfitter Switch มีโหมด Sport และ My Mode บันทึกการตั้งค่า (รูปแบบพวงมาลัย ระบบกันสะเทือน และท่อไอเสีย) และเรียกใช้งาน

    Ford

    สุดยอดสมรรถนะ

    จากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ V6 ขนาด 3.0 ลิตร EcoBoost รหัส DD2S มอบพละกำลังถึง 397 แรงม้า ที่ 5,650 รอบต่อนาที และแรงบิด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที โดยเป็นเครื่องยนต์ที่ Ford Performance พัฒนาใหม่โดยใช้เสื้อสูบกราไฟต์ที่มีขนาดกะทัดรัด เมื่อเทียบกับเสื้อสูบเหล็กหล่อทั่วไปจะมีความแข็งแรงมากกว่าถึง 75% และทนทานกว่าถึง 75%

    เพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองกับการเร่งความเร็วได้อย่างฉับไว พร้อมระบบป้องกันการรอรอบแบบที่ใช้ในรถแข่งเพื่อมอบอัตราเร่งทันใจ พร้อมระบบป้องกันการรอรอบ (Anti-Lag System – ALS) เป็นส่วนหนึ่งของโหมด BAJA ใน จะรักษาการหมุนของเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ความเร็วสูงต่อไปอีกถึง 3 วินาที หลังจากผู้ขับขี่ปล่อยคันเร่ง รถจึงคืนความเร็วได้ทันใจขณะเร่งออกจากทางโค้ง หรือระหว่างการเปลี่ยนเกียร์

    Fordมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter รุ่น 10R80  ซึ่งเกียร์แต่ละสปีดได้รับการตั้งค่าเฉพาะตัวแตกต่างกัน พร้อมเอาชนะทุกเส้นทางหฤโหด ไม่ว่าจะเป็นกรวด ดินลูกรัง โคลน หรือทราย มีระบบท่อไอเสียควบคุมไฟฟ้า Active Valve Exhaust ปรับระดับเสียงท่อ 4 โหมด ผู้ขับขี่จึงปรับระดับความดังเสียงท่อให้มีความนุ่มนวลไปจนถึงเสียงกระหึ่มเร้าอารมณ์ได้ตามต้องการ โดย ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับความดังของท่อไอเสียได้เพียงกดปุ่มบนพวงมาลัย หรือเลือกโหมดการขับขี่ดังต่อไปนี้

    • โหมดเงียบ Quiet – ออกแบบมาเพื่อตั้งค่าให้ท่อไอเสียเงียบมากกว่าการอวดสมรรถนะ เหมาะสำหรับการสตาร์ทรถตอนเช้าตรู่ เพื่อลดเสียงรบกวนเพื่อนบ้านหรือผู้คนในชุมชน
    • โหมดปกติ Normal – สำหรับใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ไม่ดังเกินไปสำหรับการขับบนท้องถนน โดยจะเป็นค่าเริ่มต้นกับการขับขี่โหมดปกติ โหมดถนนลื่น โหมดโคลน และโหมดหิน
    • โหมดสปอร์ต Sport – มอบเสียงดังกระหึ่มขึ้น เมื่อต้องการเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจยิ่งขึ้น
    • โหมดบาฮา Baja – โหมดเสียงที่อวดความแรงสูงสุดทั้งความดังและความทุ้ม เสมือนระบบต่อตรงออกแบบมาสำหรับการขับขี่ออฟโรดเท่านั้น

    Ford

    ตะลุยออฟโรดได้ดียิ่งกว่าเดิม ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา Full Time ด้วยเกียร์ทรานสเฟอร์ควบคุมไฟฟ้าใหม่ล่าสุดที่ปรับได้ตามต้องการ และระบบดิฟล็อก 4 ล้อหน้า-หลัง พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิวด้วยโหมดการขับขี่ 7 โหมด Terrain Management System โดยใช้ระบบเกียร์ไฟฟ้าใหม่ที่ปรับได้ 2 ระดับ และยังมาพร้อมระบบควบคุมเฟืองท้ายคู่หน้าและหลังแบบ Locking Differential ครั้งแรก นับเป็นคุณสมบัติที่ตอบโจทย์คอออฟโรดตัวจริง โดยโหมดการขับขี่ 7 โหมดมีทั้ง

    • โหมดปกติ Normal – ออกแบบมาเพื่อความสบาย ประหยัดเชื้อเพลิง และขับขี่สะดวก (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L)
    • โหมดสปอร์ต Sport – ออกแบบมาให้ตอบสนองไวขึ้นสำหรับการขับขี่บนถนนอย่างสนุกสนาน (ใช้ได้เฉพาะ 4A)
    • โหมดทางลื่น Slippery – ออกแบบมาให้ผู้ขับมีความมั่นใจในการขับขี่บนถนนลื่นหรือพื้นถนนที่ไม่สม่ำเสมอ (ใช้เฉพาะ 4H)
    • โหมดหิน Rock Crawl– มอบการยึดเกาะและการทรงตัวที่เหนือชั้นบนพื้นผิวที่ลื่นไถลได้ง่าย  (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)
    • โหมดทราย Sand – สำหรับใช้ขับบนพื้นทรายหรือหิมะ เพิ่มประสิทธิภาพการส่งกำลังและการเปลี่ยนเกียร์  (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)
    • โหมดโคลน Mud/Ruts – เพิ่มศักยภาพในการยึดเกาะขณะออกตัว รักษาการทรงตัวของรถ  (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)
    • โหมดบาฮา Baja – เปลี่ยนเข้าสู่การขับขี่ด้วยความเร็วสูงเต็มสมรรถนะ โดยปรับทุกระบบให้พร้อมสำหรับการลุย

    Ford

    มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด (Trail Control™) ทำหน้าที่เสมือนระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ออฟโรด ผู้ขับขี่สามารถเลือกความเร็ว (ไม่เกิน 32 กิโลเมตร/ชั่วโมง) รถจะควบคุมการเร่งความเร็วและการเบรก ผู้ขับขี่เพียงจดจ่อกับการบังคับควบคุมพวงมาลัยเพื่อฝ่าเส้นทางสุดท้าทายได้ง่ายขึ้น

    มั่นใจได้ว่าพร้อมตะลุยเส้นทางออฟโรดสุดแสนหฤโหดช่วงล่างของรุ่นนี้จึงได้รับการออกแบบปีกนกบนและล่างใหม่ที่ทำจากอะลูมิเนียมที่แข็งแรง แต่มีน้ำหนักเบา รวมถึงระบบกันสั่นสะเทือนที่มีระยะยืดยุบสูง พร้อมวัตต์ลิงก์ด้านหลังที่พัฒนามาเพื่อให้เจ้าของรถขับขี่ด้วยความเร็วสูงบนถนนขรุขระได้อย่างมั่นใจและใช้ประโยชน์สูงสุดจากโช้คแบบ Live Valve  Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้ว ของ FOX

    ปรับได้แบบเรียลไทม์เพื่อประสบการณ์การขับขี่ทางเรียบที่เหนือระดับ ในขณะที่ยังสามารถซับแรงกระแทกจากพื้นผิวขรุขระและทางลูกรังในการขับขี่แบบออฟโรดได้อย่างง่ายดาย ช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดการสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของรถและยังเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นผสม Teflon™ ที่ลดการเสียดสีลงได้ถึง 50%

    ระบบป้องกันการหดตัวค้าง (Bottom-Out Control) ของ FOX ที่ได้รับการพิสูจน์จากสนามแข่งช่วยสร้างแรงหน่วงสูงสุดในระยะ 25% สุดท้ายของการหดตัว เพื่อป้องกันไม่ให้โช้คค้าง ในทำนองเดียวกัน ระบบดังกล่าวยังช่วยชะลอการหดตัวของโช้คหลัง เพื่อไม่ให้รถกระแทกแรงเกินไปขณะเร่งความเร็ว เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่มากขึ้น เมื่อระบบกันสะเทือนสร้างแรงหน่วงในปริมาณที่พอเหมาะในทุกการเคลื่อนไหว จึงยึดเกาะพื้นผิวได้ดีทั้งบนถนน และเส้นทางสมบุกสมบัน

    Fordสมรรถนะในการฟันฝ่าเส้นทางที่ท้าทายจากการติดตั้งแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถที่มีขนาดใหญ่เกือบ 2 เท่าของขนาดปกติอีกทั้งยังทำขึ้นจากเหล็กที่มีความแข็งแรงหนา 2.3 มิลลิเมตร เมื่อประกอบเข้ากับแผ่นปิดใต้เครื่องยนต์และชุดเกียร์จึงช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญ อาทิ หม้อน้ำ ระบบบังคับเลี้ยว คานด้านหน้า อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองได้ดีเยี่ยม

    ตะขอลากจูงคู่หน้าและหลังทำให้รถพร้อมลุยในเส้นทางออฟโรดทุกสถานการณ์ ให้ผู้ขับขี่เลือกใช้ตะขอใดตะขอหนึ่งเป็นจุดยึดสายลากจูงได้ ในกรณีที่ตะขออีกด้านเข้าถึงได้ยาก ขณะเดียวกันก็เพิ่มความสมดุลด้วยการใช้สายลากจูงสองเส้นเพื่อดึงรถขึ้นจากหลุมทรายลึกหรือหล่มโคลนได้ พร้อมช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น และช่วงล่างหลังวัตต์ลิงก์ และพวงมาลัยไฟฟ้า

    ความปลอดภัยครบครันทั้ง

    • ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อม Stop&Go และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering
    • เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam
    • ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection
    • เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support
    • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System
    • ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน  Lane Departure Warning
    • ตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking
    • กล้องมองรอบคัน 360 องศา
    • ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
    • ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist

    ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด รอบคัน รวมถุงลมบริเวณหัวเข่า ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ป้องกันล้อหมุนฟรี TCS ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM ควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC สัญญาณกันขโมย สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลังรวมกัน 8 จุด (หน้า 4 จุด หลัง 4 จุด) ตรวจวัดลมยาง

    Ford

    Ford Ranger Raptor Extra Pack V6 เพิ่มค่าตัวจากเดิม 30,000 บาท จำหน่ายในราคา 1,984,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือก 4 สี

    • สีดำ Absolute Black
    • สีขาว Arctic White
    • สีส้ม Code Orange (เพิ่มเงิน 10,000 บาท)
    • สีเทา Conquer Grey (เพิ่มเงิน 10,000 บาท)

     

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts