หลังทำตลาดที่ยุโรปมา 3 ปี สำหรับ Mitsubishi ASX เอสยูวีทรงท้ายตัดยกสูงล่าสุดเปิดตลาดพวงมาลัยขวาที่ออสเตรเลีย
และเป็นการกลับมาทำตลาดอีกครั้งหลังหายไป 15 ปี สำหรับ Mitsubishi ASX เจเนอเรชันที่ 2 หน้าปรับโฉมครั้งแรกตามยุโรป
ด้วยหน้าตาดุขึ้นเหมือนยักษ์
ตั้งแต่กระจังหน้าสีดำกึ่งโครเมียมติดตราทรีไดมอนด์ เจาะช่องระบายอากาศใหญ่ขึ้นในชุดกระจังลากยาวมาถึงช่องระบายอากาศสีดำเงาประกบในชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ตสีทูโทนสีเดียวกับตัวรถ ไฟหน้า LED โคมใหม่ และไฟ DRL แบบ LED ติดที่มุมกันชนหน้าซ้าย-ขวา
ด้านข้างคงเดิมตกแต่งเท่ด้วย กระจกมองข้างทรงสปูนพร้อมไฟเลี้ยวในตัว คิ้วตกแต่งชายล่างประตูโครเมียม มีหลังคาดำ และไฟท้าย LED รูปตัว C พร้อมตัวหนังสือ Mitsubishi ขนาดใหญ่รับกันชนหลังสีทูโทนและล้ออัลลอยลายใหม่ให้เลือกทั้งขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 215/60R17 และ 18 นิ้ว พร้อมยาง 215/55R18 ตัวรถใช้พื้นฐานเดียวกับ Renault CAPTUR ด้วยแพลตฟอร์ม CMF-B ร่วมกันกับ Nissan Juke รวมถึง Renault Clio Dacia SANDERO และ Renault ARKANA coupe-SUV
- ความยาว 4,228 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,797 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,573 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,639 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 173 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,276-1,294 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 48 ลิตร
ภายในมีความเป็น Renault CAPTUR อยู่พอสมควร
เพียงแค่แปะตราทรีไดมอนด์ สีเงินพื้นหลังสีดำที่แป้นพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน มาตรวัดความเร็วพร้อมจอแสดงข้อมูล MID ทั้งขนาด 7 นิ้ว และ 10 นิ้ว ไว้บอกระบบนำทางแบบ 3 มิติ อภิมหาความบันเทิงกับจอสัมผัสแนวตั้งขนาดใหญ่ 10.4 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง เชื่อมต่อแบบไร้สายกับ Apple CarPlay หรือ Android Auto พร้อม Google built-in
ใต้จอออกแบบสวิตช์เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติใช้งานใหม่แบบปุ่ม Piano ลากยาวมาถึงคอนโซลเกียร์ใหม่ พร้อมเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light เลือกได้ถึง 8 สี เบาะนั่งหุ้มผ้ากับหุ้มหนังให้เลือกปรับด้วยระบบไฟฟ้าและปรับมือให้เลือกเช่นกัน ติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้ามีระบบอุ่นเบาะแถมเบาะหลังพับได้แบบ 60:40 โดยมีพื้นที่มากถึง 484 ลิตร และไม่พับเบาะมีพื้นที่ 393 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะมีพื้นที่มากถึง 1,596 ลิตร
ขุมพลัง Mild Hybrid
สำหรับตลาดออสเตรเลียเลือกขุมพลัง Mild Hybrid 12-volt มาประจำการด้วยเบนซินเทอร์โบขนาด 1.3 ลิตร TCe ให้กำลังมากถึง 154 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 270 นิวตันเมตรที่ 1,800-3,750 รอบต่อนาที ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า ลากจูงได้สูงสุด 1,200 กิโลกรัม พร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง Eco, Comfort, Sport และ‘Perso’ พร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า
ความปลอดภัยเต็มคัน
- ช่วยเบรกอัตโนมัติ Forward Collision Mitigation (AEB) with pedestrian detection
- ช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้า Driver Attention Alert (DAA)
- ช่วยรักษาเลนฉุกเฉิน Emergency Lane Assist (ELA)
- แจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Prevention (LDP)
- ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW)
- เตือนระยะห่างปลอดภัย Safe Distance Warning (SDW)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist (LKA)
- ล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC)
- ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ตั้งค่าไว้ Traffic Jam Assist (TJA)
- เตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
- ช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- ป้องกันการเปิดประตูเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้าง Safe Exit Assist (SEA)
- เปิดไฟสูงอัตโนมัติ High Beam assist (HBA)
- ระบบ MI-PILOT ที่มาทั้งระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ (ACC), ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ตั้งค่าไว้ (TJA) และ ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
- จดจำป้ายจราจร Traffic sign recognition
- แจ้งเตือนการขับขี่ Driver Break Alert
- จำกัดความเร็วแบบปรับได้ Adjustable speed-limiter (ASL)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานมาครบทั้ง เบรกป้องกันล้อล็อก Anti-Lock Braking System (ABS) ควบคุมการกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD) ช่วยเบรกฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) เสริมแรงเบรก Brake Assist System (BAS) พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ Electronic Stability Program (ESP) ป้องกันการลื่นไถล Traction Control System (TCS)
ออกตัวบนทางลาดชัน Hill-start Assist Control (HAC) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ Emergency Stop Signal (ESS) ตรวจวัดแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System (TPMS) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ถุงลมนิรภัยรอบคัน กล้องมองภาพด้านหลัง และสัญญาณกะระยะการจอดรถหน้า-หลัง
Mitsubishi ASX ขาย 3 รุ่นย่อยทั้งรุ่น LS รุ่น Aspire และรุ่น Exceed ในราคาไม่รวมค่า Drive-Away หรือราคารถรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการนำรถออกไปใช้งาน (ค่าภาษี, ค่าจดทะเบียน, และค่าประกันภัย) $37,740-$46,490 หรือราว 819,000-999,000 บาท โดยส่งขายเข้าโชว์รูมทั่วประเทศปลายปีนี้ ประกอบที่โรงงาน Renault เมืองบายาโดลิด ประเทศสเปน
ที่มา Carexpert