ความเปลี่ยนแปลงทางการตลาด ต้นทุนการผลิต และกฎระเบียบด้านสภาพแวดล้อม ทำกำลังสร้างแรงกดดันต่อการวางแผนระยะยาวของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก ล่าสุด Ford ได้มีการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์
Ford ปรับกลยุทธ์ หลังจากรถกระบะไฟฟ้า 100% รุ่น F-150 Lightning และรถตู้ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ E-Transit ต้องเลื่อนเลื่อนการเปิดตัวหลายครั้ง Ford Motor Company หรือ ฟอร์ด (Ford) ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก ได้เปิดเผยว่า บริษัทมีการปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยนอกจากจะมีการเปลี่ยนรถรุ่น Lightning ให้เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดแล้ว บริษัทยังตัดสินใจ ยกเลิกโครงการรถตู้ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ และหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนารถยนต์ไฮบริด (HEV) แทน
ฟอร์ดระบุว่า การหันมาให้ความสำคัญกับ รถยนต์ไฮบริดมากขึ้น เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่มีความต้องการของตลาดต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูง และเผชิญการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนจะขยายทางเลือกรถยนต์ไฮบริดให้ครอบคลุมเกือบทุกรุ่นในไลน์อัป รวมถึงรุ่นที่เน้นสมรรถนะด้วย ขณะที่รถยนต์ขนาดใหญ่จะเพิ่มทางเลือกเป็น รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก และมีเครื่องยนต์เบนซินทำหน้าที่ผลิตพลังงานเพื่อชาร์จแบตเตอรี่
ก่อนหน้านี้ฟอร์ดมีแผนจะพัฒนารถตู้ไฟฟ้ารุ่นใหม่เข้ามาแทน E-Transit ในปี 2028 แต่แผนดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว โดยบริษัทจะเปลี่ยนไปเป็น รถตู้ใช้เชิงพาณิชย์รุ่นใหม่ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายแทน พร้อมทางเลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและระบบไฮบริด ซึ่งมีกำหนดเริ่มการผลิตในปี 2029 ที่โรงงานประกอบในรัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นฐานการผลิตรถตระกูล E-Series ในปัจจุบัน
ฟอร์ดยังเปิดเผยแผนใหม่สำหรับโครงการ BlueOval City ในรัฐเทนเนสซี โดยมีการปรับศูนย์ Tennessee Electric Vehicle Center ซึ่งเดิมวางแผนไว้สำหรับการผลิตรถกระบะไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ ให้เปลี่ยนบทบาทเป็น Tennessee Truck Plant แทน โดยโรงงานแห่งนี้มีแผนจะเริ่มผลิต รถกระบะเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ที่มีราคาเข้าถึงได้ ในปี 2029 ซึ่งฟอร์ดระบุว่ารถกระบะดังกล่าวจะเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่มีอยู่ในปัจจุบัน และไม่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ F-Series
การลงทุนในอเมริกาเหนือจะมุ่งไปที่ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งพัฒนาบน แพลตฟอร์ม Universal EV ที่ประกาศไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แพลตฟอร์มนี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับรถยนต์หลายรุ่นของฟอร์ด โดยจะเริ่มจาก รถกระบะขนาดกลาง ซึ่งมีกำหนดเริ่มผลิตในปี 2027 ที่โรงานประกอบ หลุยส์วิลล์
นอกจากนี้ ฟอร์ดยังเปิดเผยแผนธุรกิจใหม่ด้าน ระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ สำหรับศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะนำกำลังการผลิตแบตเตอรี่ที่เมือง เกลนเดล ในรัฐเคนตักกี้ ซึ่งเดิมรองรับการผลิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มาปรับใช้กับธุรกิจด้านพลังงานมากขึ้น ซึ่งฟอร์ดมีแผนลงทุนประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายธุรกิจส่วนนี้ ภายในช่วงสองปีข้างหน้า
ฟอร์ดตั้งเป้าว่าการปรับแผนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขายทั่วโลก จาก 17% ในปัจจุบัน เป็นประมาณ 50% จากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ รถยนต์ไฮบริดแบบดั้งเดิม (HEV), รถยนต์ไฮบริดแบบขยายระยะทาง (REEV) และ รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และคาดว่ากลยุทธ์ใหม่นี้จะช่วยให้แผนก Model e ซึ่งรับผิดชอบธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องของบริษัท สามารถทำกำไรได้ภายในปี 2029
ที่มา: caranddriver.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้ที่:car2day.com











