เวอร์ชันแต่งจากโรงงานอย่าง Nissan SERENA AUTECH ต้อนรับสมาชิกใหม่ที่ว่ากันว่าเป็นรุ่นย่อยใหม่ขายญี่ปุ่นนั่นคือ Nissan SERENA AUTECH LINE

หน้าใหม่อัปหล่อ
Nissan SERENA AUTECH LINE เพิ่มเติมจากรุ่นปกติด้วย กระจังหน้าโครเมียมสีดำเงาเสริมคิ้วโครเมียมสีดำเงาเข้าไปเพิ่มความหรูอีกขั้น กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวสีเงินเมทาลิก และล้ออัลลอยสีเงินเมทาลิกลายพิเศษขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/65 R16
นอกนั้นใหม่เน้นสปอร์ต ด้วยกระจังหน้ารูปตัววีดีไซน์ เฉียงซ้าย-ขวา รับกับแถบไฟ LED DRL แนวตั้ง 3 เส้น ในชุดไฟหน้า LED ใหม่ พร้อมปักชื่อ Serena บนขอบไฟหน้าชุดกันชนหน้าใหม่ทรงตัวรูปวีมีมิติด้วยขอบกลางของกันชนหน้าออกแบบเป็นสปอยเลอร์ในตัวเสริมเท่ไปอีกแบบพร้อมไฟตัดหมอกหน้าดวงเล็กแบบ LED และมุมกันชนหน้าใหม่ทรงสามเหลี่ยมหน้าไม่เท่า
ชุดแต่งสีเดียวกับตัวรถในตำแหน่งหลังคารถและกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ที่เปิดประตูโครเมียมพร้อมประตูสไลด์เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าด้วยการแกว่งเท้าใต้ท้องรถ เสา A มีกระจกขนาดเล็กแบบเดียวกับเจนที่แล้วครอบสีดำ ที่ครอบทับฝาท้ายส่วนบนกระจกท้ายเสา C กับ D แบบตัววี
ฝาท้ายแบบ DUAL BACK DOOR เปิดได้ 2 ส่วนทั้ง ครึ่งบานส่วนบนและทั้งบานเต็มๆ ติดตั้งคิ้วเล็กสีดำปะชื่อ Serena คิ้วใหญ่กรอบป้ายทะเบียนโครเมียม ติดตั้งกันชนหลังแผงทับทิมแนวตั้งและสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ ไฟท้าย LED แนวตั้งแบบ Boomerang

ภายในปรับใหม่
ด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง PU ใหม่ Tailor Fit ให้ความรู้สึกนุ่มนวลโอบกระชับสบาย พร้อมระบบความบันเทิงและการสื่อสารวอร์ชันใหม่ Nissan Connect ด้วย ระบบ Google built-in ในตัว เรียกใช้งาน Google Maps, Google Assistant และ Google Play ดาวน์โหลดแอปได้ รวมไปถึงเพลง พอดแคสต์รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay ไร้สาย อัปเดตออนไลน์ over-the-air ให้ทันสมัยตลอดเวลา
รองรับฟีเจอร์ “Forgotten Alert” ซึ่งจะส่งการแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของคุณหากคุณลืมล็อกประตูรถ ปิดไฟฉุกเฉิน หรือปิดกระจกรถ รวมถึงบริการ “Remote Photo Shot” ใหม่ ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบรถของคุณจากระยะไกลได้ และยังมีจอสำหรับผู้โดยสารตอนที่ 2 ขนาด 15.6 นิ้วโดยทั้งหมดนี้เป็นออปชันเสริมสามารถซื้อเพิ่มได้จากดีลเลอร์ Nissan

เสริมหรูด้วยชุดเบาะนั่ง 7 ที่นั่ง 2+2+3 และ 8 ที่นั่ง 2+3+3 หุ้มหนังและผ้า เบาะนั่งปรับสูงต่ำได้แบบ Zero Gravity พร้อมเบาะนั่งตอนที่ 2 แบบ Captain Seats สามารถเลื่อนได้ เบาะนั่งตอนที่ 3 พับแบบ 50:50 แขวนบนเสา D ที่วางแก้วมากถึง 17 จุด แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ที่ต่างจากเจนที่แล้ว กับมาตรวัดขนาดใหญ่พร้อมจอ MID ขนาด 12.3 นิ้ว

จอ Touch Screen ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว รองรับระบบความบันเทิง Infotainment รองรับ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto กับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน เครื่องปรับอากาศปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวา ด้านหลังแบบ Triple Zone ปุ่มเกียร์อัตโนมัติในตัว ที่ชาร์จมือถือไร้สาย ปุ่ม Push Start และช่องเสียบ USB Type C
สมรรถนะเดิม
ขุมพลังเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์เบนซิน e-Power รหัส HR14Dde มาขยายความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชักยาวขึ้นเป็น 78.0 x 100.0 มิลลิเมตร (เดิม 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร) ขนาด 1.4 ลิตร ให้กำลังถึงให้กำลังถึง 98 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 123 นิวตันเมตรที่ 5,600 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ารุ่น EM 57 Synchronous Motor และแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ขนาด 1.769 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังรวมสูงสุด 163 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 315 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาทีประหยัดสุด 19.3-20.6 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ e-4ORCE เทคโนโลยีที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับล้อทั้งสี่ ให้ความสมดุลในประสิทธิภาพที่ทรงพลังพร้อมรองรับการขับขี่ในทุกสภาพอากาศ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ทำให้การขับขี่มีความสมดุลและมั่นคงด้วยพลังระดับรถสปอร์ตในพริบตา
สำหรับนี้ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ แรงม้า แรงบิด เท่ากัน มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ากำลังเท่ากันแต่ว่าเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง MM48 AC3 Synchronous Motor ให้พลัง 82 แรงม้าที่ 4,897-9,504 รอบต่อนาที แรงบิด 195 นิวตันเมตรที่ 0-4,897 รอบต่อนาที ให้พลังรวมมากขึ้นเป็น 245 แรงม้าที่ 9,398 -16,926 รอบต่อนาที เพิ่มแรงบิดเป็น 510 นิวตันเมตรที่ 0-8,402 รอบต่อนาที
ทั้ง 2 ขุมพลังมาพร้อมระบบ e-Pedal ซึ่งใช้คันเร่งในการกดเร่งแซงและชะลอความเร็วในชุดเดียวกัน จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction พร้อม 3 โหมดการขับขี่ ECO, Standard, Sport และใหม่!! e-Pedal Step Previous Mode Memory จดจำการตั้งค่าของการหน่วงคันเร่งครั้ง
และยังมีเบนซินล้วน 2.0 ลิตร รุ่น MR20DD กำลังสูงถึง 150 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ
ความปลอดภัย
นอกจาก ระบบ ProPILOT 2.0 หรือระบบช่วยขับกึ่งอัตโนมัติ ระบบช่วยบังคับเลี้ยวเพื่อหลีกเลี่ยงการชน” ควบคุมการบังคับเลี้ยวของผู้ขับขี่เมื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางด้านหน้า และ ProPILOT Parking พ่วงระบบหน่วยความจำที่สามารถบันทึกตำแหน่งที่จอดรถเมื่อจอดรถแล้ว และ Propilot Remote Parking ช่วยให้รถสามารถเข้าและออกได้ด้วยรีโมทคอนโทรล สามารถเข้าและออกจากพื้นที่จอดรถที่แคบๆแบบสบายๆ
- ใหม่!! เตือนตรวจสอบเบาะหลัง Rear Seat Reminder เตือนเพื่อป้องกันการลืมเด็ก สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของสำคัญไว้เบาะหลัง
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control–ICC)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist -LKA)
- แจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ (Lane Departure Warning -LDW)
- ช่วยป้องกันรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Prevention -LDP)
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor–IAVM) ทำงานร่วมกับเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection-MOD) พร้อมกล้องมองหลัง
- เตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning–IFCW)
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking–IEB) พร้อมตรวจจับคนเดิน และคนปั่นจักรยาน
- ป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention – IBSI)
- เตือนมุมอับสายตา ( Blind Spot Warning – BSW)
- เตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert–RCTA)
- กระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror-IRVM)
- ปรับไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist-HBA)
- เตือนการขับขี่เมื่อยล้าอัจฉริยะ (Intelligent Driver Attention Alert-IDAA)

ช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist–HSA) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control–VDC) เบรกกันล้อล็อก (ABS) กระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) เสริมแรงเบรก (BA) ไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน (ESS) ถุงลมนิรภัย SRS รอบคัน 6 จุด เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) ดิสก์เบรก 4 ล้อ ไฟเบรกดวงที่สามพร้อมไฟ LED สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ISOFIX & Child Anchor สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง เสียงเตือนคนเดินถนน VSP (Vehicle Sound for Pedestrian) ล็อกรถอัตโนมัติ Walk-Away Door Lock พร้อมปลดล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทเข้าใกล้ตัวรถ Approach Unlock

นอกจากนี้ยังมี Nissan Serena AUTECH SPORTS SPEC 7 ที่นั่ง พลัง e-Power และ Nissan Serena AUTECH 7-8 พลัง e-Power, e-4ORCE 7 ที่นั่ง และ เบนซินล้วน 8 ที่นั่ง
ได้ออปชันใหม่เช่นเดียวกับรุ่นปกติทั้ง จอสัมผัสรองรับระบบ Google built-in ในตัว รองรับฟีเจอร์ “Forgotten Alert” รวมถึงบริการ “Remote Photo Shot” และ เตือนตรวจสอบเบาะหลัง Rear Seat Reminder
นอกนั้นคงเดิมทั้งชุดแต่ง AUTECH ทั้งคันเริ่มที่ กระจังหน้ารูปตัววี หรือ V-Motion แบบเกล็ดขนาดใหญ่รวมถึงชุดกันชนหน้าใหม่เสริมชุดแต่งกันชนหน้าทั้งคิ้วชายล่างตรงกลางตกแต่งสีเงินพร้อม ไฟเลี้ยว LED sequential turn lamps สีฟ้าเข้มสองฝั่ง ออกแบบเส้นนอนซ้าย-ขวา หลังคาดำ
กระจกมองข้างทรงสปูนสีเงิน คิ้วสีเงินบริเวญสเกิร์ตข้างทรงสีเดียวกับตัวรถ กันชนท้ายตั้งตกแต่งสีเดียวกับตัวรถพร้อมคิ้วสีเงินใต้กันชนหลัง ล้ออัลลอยลายพิเศษ ขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 215/55ZR17 จาก MICHELIN PILOT SPORT 5 ในรุ่น SPORTS SPEC และขนาด 16 นิ้ว ในรุ่น AUTECH และสัญลักษณ์ AUTECH ในกระจังหน้าและฝาท้าย

ภายในพิเศษด้วยโทนสีดำตกแต่งด้วยสีน้ำเงินสอดคล้องกับคอนโซลหน้ากับคอนโซลกลางแผงประตู และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านตกแต่งด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์สีดำเดินด้ายสีน้ำเงิน เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายสีน้ำเงินที่ตัดกันอย่างลงตัว เสริมด้วยวัสดุสีดำ ช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ตด้วยปักและติดตรา AUTECH

พร้อมความพิเศษด้วยปรับปรุงในส่วนระบบกันสะเทือนปรับในส่วนโช้คอัพ สปริง ติดตั้งแดมป์เปอร์ที่พัฒนาร่วมกับ YAMAHA พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าเซตใหม่เพิ่มความเร้าใจในการขับขี่มากขึ้น ในขณะที่ฉนวนกันเสียงปรับปรุงใหม่ทำให้ภาพรวมการขับขี่ที่เสถียรและให้ผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดี นอกจากนี้ การใช้คอมพิวเตอร์ปรับแต่งขุมพลังทำให้ความรู้สึกในการเร่งความเร็วที่ทรงพลังและน่าพึงพอใจยิ่งขึ้นในรุ่น AUTECH SPORTS SPEC

Nissan SERENA AUTECH เริ่มที่รุ่น AUTECH LINE 4 รุ่นย่อย มาครบทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้ง 7-8 ที่นั่ง เบนซินล้วน e-Power ในราคาเริ่มต้น 3,338,500-4,251,500 YEN หรือราว 675,000-859,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้ารวมภาษีนำเข้าเข้าไปราคาจะอยู่ที่ 1,269,000-1,615,000 บาท ขายญี่ปุ่นเริ่ม 12 กุมภาพันธ์
และรุ่น AUTECH กับ AUTECH SPORTS SPEC 5 รุ่นย่อย เริ่มต้น 3,703,700-4,550,700 YEN หรือราว 749,000-919,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้ารวมภาษีนำเข้าเข้าไปราคาจะอยู่ที่ 1,405,000-1,725,000 บาทขายญี่ปุ่นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2026
ที่มา Carwatch











