BYD ได้เพิ่มเรือบรรทุกสินค้าลำแรกเพื่อการส่งออกยานยนต์โดยเฉพาะ และในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนที่จะเพิ่มเรือบรรทุกรถยนต์อีก 7 ลำ เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นยอดขายและการส่งออกทั่วโลก
เรือบรรทุกสินค้าลำแรกที่สร้างขึ้นสำหรับบีวายดีสามารถบรรทุกยานพาหนะได้มากถึง 7,000 คัน และเป็นเรือบรรทุกรถยนต์ลำแรกที่สร้างขึ้นในอู่ต่อเรือของจีนเพื่อใช้ในการส่งออกยานพาหนะในประเทศจีน ไปยังต่างประเทศเท่านั้น สร้างขึ้นโดย CIMC Raffles ในขณะที่การก่อสร้างเรือบรรทุกสินค้าอีก 2 ลำเพิ่งเริ่มต้นในเมืองกวางโจว ผลิตโดย CSSC Offshore & Marine Engineering และแต่ละลำจะมีความสามารถในการบรรทุกยานพาหนะได้ 7,000 คัน
จีนกลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อปีที่แล้ว โดยแย่งตำแหน่งมาจากญี่ปุ่น โดย BYD เชื่อว่าสามารถลดต้นทุนการขนส่งด้วยเรือของตัวเองได้ แทนที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมเช่าเหมาลำผู้ให้บริการรถยนต์ที่สูงเกินไป – Nikkei Asia รายงาน
“BYD กำลังจะปรับมาใช้เรือบรรทุกสินค้าของตัวเองทั้งสิ้น 7 ลำ ภายในสองปีข้างหน้า เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนความสามารถในการขนส่งสำหรับการส่งออกรถยนต์” ผู้ก่อตั้งและประธาน Wang Chuanfu กล่าวเมื่อต้นปีนี้
ผู้ผลิตรถยนต์ในจีนต้องการเรือลำใหม่อย่างมากเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มีผู้ให้บริการขนส่งรถยนต์เพียง 40 รายที่เป็นของบริษัทขนส่งของจีน โดยสามารถขนส่งรวมทั้งหมดได้ประมาณ 110,000 คัน ถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทขนส่งของญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับค่ายรถยนต์ซึ่งมีความสามารถในการขนส่งรวม 1.6 ล้านคัน
ไม่ใช่แค่ BYD เท่านั้นที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่ง SAIC ของรัฐก็วางแผนที่จะจัดหาเรือบรรทุกสินค้าเพิ่มอีก 14 ลำ ภายในสามปีข้างหน้าผ่านทางบริษัทโลจิสติกส์ SAIC Anji Logistics โดยบางลำมีความสามารถในการบรรทุกยานพาหนะได้ 9,000 คัน เจ้าของเรือเรือบรรทุกรถยนต์ชาวจีน ได้รับคำสั่งซื้อจำนวน 37 ลำในเดือนพฤศจิกายน โดยมีกำลังการขนส่งรวม 290,000 คัน
ความเร่งรีบในการจัดหาเรือบรรทุกสินค้ามีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงทศวรรษที่ 70 ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากการส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 1.1 ล้านคันในปี 1970 เป็น 6 ล้านคันในปี 1980 ค่ายรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นจึงต้องสร้างเรือบรรทุกรถยนต์ใหม่และใหญ่ขึ้น เพื่อให้ทันต่อความต้องการรถยนต์ญี่ปุ่นในสมัยนั้น
สำหรับประเทศไทย BYD คือแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายอดขายอันดับ 1 ในประเทศไทย ครองสัดส่วนตลาดมากถึง 40% ในปี 2566 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
Source: Carscoops
