หลังจากเปิดตัว MINI Countryman เจเนอเรชันที่ 3 อย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงกลางปีล่าสุดเพิ่มทางเลือกอีกครั้งด้วยการแนะนำ MINI Countryman S ALL4
MINI Countryman S ALL4 เจนใหม่รหัส U25 กลับมาประกอบที่โรงงาน BMW จังหวัดระยองอีกครั้งหลังจากเจนแรกรหัส R60 เคยได้ประกอบมาแล้ว
โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอกถึงบุคลิกที่ดูสปอร์ตและดุดัน สะท้อนให้เห็นจุดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและความอเนกประสงค์ของตัวรถ โดยแผ่นสะท้อนแสงแนวตั้งบริเวณด้านหน้ารถ ยังช่วยเน้นย้ำถึงความกว้างของตัวรถ ไฟหน้า LED มินิดีไซน์ใหม่ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่รูปทรงแปดเหลี่ยมที่ตกแต่งด้วยสีช่วยเสริมให้ดีไซน์มีความทันสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งความมินิมอลที่ทั้งเรียบง่ายแต่โดดเด่นสะกดทุกสายตาบนท้องถนน
โดดเด่นกับหลังคาสีดำที่มาพร้อมกระจก Panorama ในรุ่น HIGHTRIM ราวหลังคาสีดำกระจกมองข้างสีดำที่บ่งบอกถึงคาแรคเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ในขณะที่ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย Asteroid Spoke แบบทูโทนพร้อมยาง 225/55R18 ในรุ่น Classic และขนาด 19 นิ้ว ลาย Kaleido Spoke พร้อมยาง 245/45R19 ในรุ่น HIGHTRIM ช่วยดึงความโดดเด่นให้กับตัวรถส่วนท้ายรถยังมาพร้อมกับไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่เป็นเอกลักษณ์ สอดรับกับตัวถังด้านหลังทรงตั้งตรงที่ช่วยตอกย้ำถึงความกว้างของตัวรถ
มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.26 เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการขับบนท้องถนนหรือเส้นทางออฟโรดด้วยพื้นฐาน BMW UKL2 ตั้งแต่
- ความยาว 4,433 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,843 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,656 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,692 มิลลิเมตร
- ความจุถังน้ำมัน 54 ลิตร
รุ่น Classic ยังสวยสะดุดตาทั่วทั้งห้องโดยสารด้วยพวงมาลัยแบบสปอร์ต เบาะนั่งคนขับแบบ active seat เบาะหลังปรับได้ แท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟนพร้อม หุ้มเบาะนั่งด้วยผ้าและหนังเทียม VESCIN สีดำตัดน้ำเงิน
ส่วนรุ่น HIGHTRIM ยกระดับความหรูหราภายในไปอีกขั้น ด้วยเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตแบบ John Cooper Works เพดาน ห้องโดยสารมาดขรึมในสีดำ Anthracite และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon ส่วนวัสดุหุ้มเบาะใช้หนังเทียม VESCIN ล้วนในโทนสีน้ำตาล Vintage Brown และดำ Dark Petrol โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุดตั้งแต่ 450-1,450 ลิตร
ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมกับหน้าจอกึ่งกลางคอนโซลแบบ OLED ทรงกลมความละเอียดสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของมินิเจเนอเรชันที่ 5 รองรับโหมดการใช้งาน MINI Experience และแผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในรูปแบบ Toggle Bar ที่รวบรวมทุกฟังก์ชันสำคัญสำหรับการขับขี่เอาไว้ในที่เดียว รวมทั้งยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อควบคุมฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบนำทาง โทรศัพท์ และระบบความบันเทิงต่างๆในรถและยังเป็นประตูสู่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมายจาก MINI Connected
ยกระดับทุกประสบการณ์การเดินทางให้พิเศษและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณสปอร์ตด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Twin PowerTurbo รหัส B48B20A ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 5,000–6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 300 นิวตันเมตรที่ 1,450–4,500 รอบต่อนาที
สามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.4 วินาที พุ่งทะยานสู่ความเร็วสูงสุดที่ 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4 มาคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด Steptronic พร้อมแป้นหลังพวงมาลัยแบบ Gearshift Paddle มอบความมั่นใจบนทุกเส้นทางด้วยตัวช่วยครบครันสำหรับการขับขี่และ
เข้าจอด
- ควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC)
- กระจายแรงเบรก Dynamic Brake Control (DBC)
- ควบคุมระยะการจอด Park Distance Control (PDC)
- เตือนก่อนการชนด้านหน้า Post-Crash Collision Warning (PC iBrake)
- กล้องรอบคัน Surround View
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน
- เซนเซอร์ควบคมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
ลูกค้าที่สนใจเตรียมออกผจญภัยครั้งใหม่ไปกับ MINI Countryman S ALL4 ใหม่ สามารถจับจองเป็นเจ้าของกันได้ถึง 2 รุ่นย่อยทั้งรุ่น Classic และรุ่น HIGHTRIM โดยจะเปิดตัวและเปิดราคาที่งาน Motor Expo 2024 พฤศจิกายนนี้ โดยมีสีภายนอกถึง 6 สีด้วยกันได้แก่
- สีน้ำเงิน Slate Blue
- สีเขียว Smokey Green
- สีน้ำเงิน Blazing Blue
- สีขาว Nanuq White
- สีเงิน Melting Silver
- สีแดง Chili Red II