More

    [Video Review] รีวิว จุดเด่น-จุดด้อย “Toyota Veloz Premium” ออฟชั่นแน่นเกินราคาจริงมั้ย?

    สำหรับคลิปทดสอบนี้ เราจะพาไปทดลองขับรถ mini mpv น้องใหม่อย่างเจ้า Toyota Veloz ซึ่งเพิ่งเปิดตัวมาทำตลาดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา ซึ่งแค่ระยะเวลาไม่นาน แต่กวาดยอดขายไปไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งวันนี้เราจะพามาดูกันว่าเจ้า Veloz คันนี้จะโดดเด่นเรื่องออฟชั่นอย่างที่เค้าว่ากันมั้ย หรือจะมีอะไรที่ไม่เข้าตาซ่อนอยู่บ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลย

     

    5 จุดเด่นใน Toyota Veloz Premium

    Design&Exterior

    ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตาของเจ้า Toyota Veloz รุ่น Premium ตัวท็อปคันนี้บอกเลยว่าไม่ได้หล่อกว่าคู่แข่งชัดเจนนัก แต่สิ่งที่ได้เปรียบคือความสมส่วนของสรีระที่ดูลงตัว ด้วยความยาวฐานล้อที่มีมากกว่าคู่แข่ง ตลอดจนถึงฟังชั่นต่างๆ ที่มีให้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ LED พร้อม Auto Hi-Beam และ Follow me Home ไฟเลี้ยวแบบ LED Sequential พร้อมไฟตัดหมอกทรงกลม ซึ่งมาในมาดบึ้งตึงคล้ายรุ่นพี่ Corolla Cross ที่มีกระจังหน้าขนาดใหญ่สีดำเงาช่วยเพิ่มความหรูหราได้อย่างลงตัว

    เช่นเดียวกับด้านข้างที่เสริมหล่อด้วยคิ้วโครเมี่ยมลากยาวหัวจรดท้าย ช่วยเพิ่มความพรีเมี่ยมขึ้นมาอีกนิด ประกอบกับมือเปิดประตูแบบ Smart Entry ซึ่งดีไซน์ซ่อนปุ่มแบบเรียบไปกับมือจับ ไม่เป็นปุ่มยางสีดำให้ดูขัดตา เวลาใช้งานก็แค่สัมผัสไม่ต้องกดให้ยุ่งยาก พร้อมเสริมความบึกบึนด้วยโป่งซุ้มล้อขนาดกำลังดี รับกับล้ออัลลอยเงาวับลาย 10 ก้านขนาด 17 นิ้วได้อย่างพอดิบพอดี เช่นเดียวกับสเกิร์ตข้างสีดำด้านที่ช่วยให้รถดูหล่อดุพร้อมลุยมากขึ้น

    ก่อนจะจบที่บั้นท้ายซึ่งดูดีด้วยไฟท้ายดีไซน์พาดยาวจากซ้ายไปขวาดูลงตัวตามสมัยนิยม เช่นเดียวกับไฟท้ายที่เป็นแบบ LED Light Guiding สวยงามลงตัว พร้อมเสริมการ์ดกันกระแทกด้านล่างรับกับสเกิร์ตรอบคันได้อย่างลงตัว

    Interior&Convenince

    ส่วนจุดเด่นเมื่อก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร จะเห็นได้ถึงงานดีไซน์ที่หรูหราและทันสมัยขึ้นเทื่อเทียบกับโฉมก่อน พร้อมลูกเล่นที่แพรวพราวโดยเฉพาะมาตรวัด MID ขนาด 7 นิ้ว แค่กดปุ่มสตาร์ทจะเห็นถึงความพยายามใส่ลูกเล่นเข้าไปในหน้าจอนี้ให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่เริ่มต้อนรับด้วยกราฟฟิกหลากสีคำว่า “Veloz” ก่อนจะเข้ามาปรับตั้งค่าเลือกธีมหน้าจอฝั่งซ้ายได้ถึง 4 รูปแบบ ซึ่งมีทั้งแบบพื้นๆ ไปจนถึงหน้าจอล้ำๆ ดูแปลกตา

    นอกจากนี้ยังปรับเซ็ตและแสดงข้อมูลต่างๆผ่านหน้าจอนี้ เช่น พวก อัตราสิ้นเปลือง, ระบบความปลอดภัย หรือจะเป็นนาฬิกาก็ทำได้ ที่สำคัญมีภาพแสดงมุมล้อขณะหักเลี้ยวให้ด้วย เห็นมั้ยว่าเยอะจริงๆ ส่วนหน้าจอกลางแบบสัมผัสดีไซน์ลอยตัวขนาด 9 นิ้ว แม้ตัวหน้าจอและฟีเจอร์ต่างๆจะดูพื้นๆแต่ขอบอกว่าฟังชั่นครบ รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Andorid Auto ที่สำคัญยังซ่อนฟังชั่นเด็ดอย่างหน้าจอแสดงมุมและองศาตัวรถ ซึ่งหาดูได้ยากในรถคลาสนี้

    อีกอย่างที่ถือเป็นจุดเด่นที่สัมผัสได้ คือความกว้างขวางและนั่งสบายกว่าคู่แข่งในคลาส โดยเฉพาะที่นั่งแถวสองซึ่งเลื่อนเข้าออกและพับ 60/40 ได้แบบ one touch เพื่อเปิดให้ขึ้นไปนั่งแถวที่ 3 ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนอกจากจะกว้างแล้ว เมื่อนั่งอยู่แถว 2 จะเห็นว่าพี่ต้าเค้าใส่ใจในเรื่องประโยชน์ใช้สอยในหลายๆ อย่างช่องเก็บของหลังเบาะคู่หน้า ที่มาพร้อมช่องเก็บโทรศัพท์มือถือช่องเล็กๆ หรือจะใส่ของใหญ่ช่องล่างก็กว้างพอเก็บของได้หลายอย่างเลย ที่สำคัญช่องแอร์แถวสองใหญ่มากให้แรงลมและความเย็นได้ทั่วถึง เสียอย่างเดียวคือมันดูไม่ค่อยสวยเท่านั้นเอง

    ส่วนที่เหลือก็พวกฟังชั่นที่มีให้ครบไม่ว่าจะเป็น ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย เบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold ไฟแสดงสถานะการคาดเข็มขัดที่มีให้ครบทุกที่นั่งรวมถึงแถว 3 และสุดท้ายคือไฟ Ambiant light ตรงคอนโซลกลางและแผงประตู ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องโดยสารเวลาค่ำคืน ซึ่งยังไม่เห็นคู่แข่งคันไหนติดตั้งมาให้เหมือนกับ Veloz

    Engine&Transmission

    ในด้านของขุมพลังนั้น Veloz ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 2NR-VE ที่พัฒนาให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนเป็น 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ พร้อมแรงบิด 138 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ Sequential Shift ส่งกำลังลงสู่ล้อคู่หน้า ซึ่งมีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้ง Normal, Power, Eco และโหมดที่ต้องเปิดพร้อมกันทั้ง Power และ Eco ซึ่งผมขอเรียกว่าโหมด Smart เพราะมันจะทำงานอยู่กึ่งกลางระหว่างโหมดซิ่งกับโหมดประหยัด ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นที่มีให้เลือกเหนือกว่าคู่แข่งชัดเจน

    จากที่ได้ลองขับในโหมดปกติ อย่างแรกที่สัมผัสได้คือคันเร่งไวกดเบาๆรถพุ่งไปข้างหน้าทันที ให้ความคล่องตัวในเมืองดีรู้สึกกระฉับกระเฉง แต่ถ้ากดมิดก็ตามสไตล์ cvt คือรอบตื้อนำแล้วค่อยตามด้วยความเร็วที่ค่อยๆไต่ ซึ่งทีแรกคิดว่าจะซดน้ำมันแบบใจหาย แต่ปรากฎว่ามันประหยัดกว่าที่คิด ซึ่งประหยัดสุดได้ประมาณ 15 กม./ลิตร เฉลี่ยอยู่ที่ 13.5 กม./ลิตร จากการขับทดสอบและถ่ายทำในเมืองย่านพระราม 4 มุ่งหน้าสู่อำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี โดยรอบเครื่องยนต์จะอยู่ที่ 1,450 รอบ ที่ความเร็ว 90 ขยับเป็น 1,750 ที่ความเร็ว 100 และ 2,100 รอบ ที่ 120 กม./ชม. ซึ่งใกล้เคียงกับคู่แข่ง

    ส่วนอัตราเร่งในโหมดปกติ จาก 0-100 กม./ชม. นั้นใช้เวลาประมาณ 12 วินาทีปลายๆ ซึ่งถือว่าไม่ช้าสำหรับรถคลาสนี้ และเมื่อเปิด Power รอบเครื่องจะดีดขึ้นมารออีก 500 รอบ ช่วยเพิ่มจังหวะตอบสนองให้รวดเร็วขึ้น ส่วนโหมด Eco รอบจะต่ำลงเล็กน้อยพร้อมคันเร่งที่ต้านเท้ามากขึ้นเพื่อความประหยัดที่เพิ่มขึ้น

    Handling&Ride

    ในด้านของระบบกันสะเทือนนั้นพื้นฐานเดียวกับคู่แข่งคือ ด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กิด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม เช่นเดียวกับพวงมาลัยไฟฟ้าซึ่งบอกเลยขับในเมืองเบาสบายมือมากๆ น่าจะถูกใจสาวๆ แถมวงเลี้ยวก็ไม่ได้กว้างแม้รถจะดูใหญ่ เลี้ยวยูเทิร์นทีเดียวพ้นได้ไม่อับอาย ด้วยวงเลี้ยวแคบสุด 4.9 เมตร แต่สิ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งชัดเจนคือระบบเบรกซึ่ง Veloz ให้มาเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ซึ่งคู่แข่งส่วนใหญ่ด้านหลังยังเป็นดรัมเบรกกันอยู่

     

    Safety&Feature

    ปิดท้ายจุดเด่นที่ต้องยอมรับว่าเด่นที่สุดในคลาสนี้ก็คือระบบความปลอดภัย ซึ่งงานนี้ทางโตโยต้าใจปล้ำใส่ Toyota Safety Sense มาให้ใน Veloz แบบครบเซ็ตเกินหน้าเกินตาคู่แข่ง เทียบชั้นรถหรูราคาเกินล้านได้เลย ตั้งแต่ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมช่วยเบรก, ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว, ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งพลาด, ระบบเตือนเมื่ออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงให้อยู่ในเลนที่ทำงานตั้งแต่ความเร็ว 60 กม./ชม.ขึ้นไป และที่ขาดไม่ได้คือ Blind Spot ไว้เตือนรถในจุดอับสายตา ไปจนถึงระบบควบคุมเสถียรภาพพื้นฐาน และถุงลมนิรภัย 6 จุด ที่มีมาให้ครบ ที่สำคัญ Veloz ยังคิดตั้งกล้องรอบคันและจอแสดงภาพ พร้อมเซ็นเซอร์เตือนแบบครบๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างลงตัว

    5 จุดด้อยใน Toyota Veloz Premium

    Design&Exterior

    สำหรับจุดด้อยภายนอกเท่าที่เดินสำรวจรอบคัน เรื่องความสวยงามและความลงตัวบอกเลยสอบผ่านฉลุย
    ติดแค่ไม่มีไฟ Day Time มาให้ กับไฟตัดหมอกที่ไม่เป็น LED ซึ่งก็สว่างดี แต่มันคนละสีกับไฟหน้าเลยดูไม่ค่อยสวยงามนัก

    Interior&Convenince

    ส่วนภายในห้องโดยสารแม้จะมีของเล่นมาให้เยอะก็ตาม แต่เวลาใช้งานจริงกลับรู้สึกว่ายังขาดสิ่งที่จำเป็น และความลงตัวในหลายๆจุด หรือจะเรียกว่าขาดๆเกินๆก็ได้ อย่างแรกเลยที่ควรมีแต่ไม่มีคือปุ่มล็อคประตู ซึ่งเวลาล็อคต้องเหนี่ยวตัวล็อคที่มือเปิดแทน แม้หลายคนจะบอกว่ามันตั้งให้เปิดอัตโนมัติตอนเข้าเกียร์ P หรือดับเครื่องได้ แต่ถ้าผมอยากเปิดตอนอื่นล่ะทำไง อีกอย่างคือตรงคอนโซลกลางไม่มีที่วางของหรือวางแก้วอะไรใดๆทั้งสิ้น ออกแบบมาปิดทึบดำเงาสวยงาม แต่เวลาวางของจุกจิกต้องเอื้อมไปใส่ช่องด้านล่างหรือไม่ก็ข้างประตูแทน เช่นเดียวกับช่องเสียบ USB ที่ย้ายไปอยู่ด้านล่าง แน่นอนว่าสวยงามดูไม่รกหูรกตา แต่เวลาใช้งานจริงมันไม่ค่อยสะดวกเหมือนอยู่ด้านบน

    ส่วนช่องไวเลสชาร์จก็ออกแบบถาดวางเล็กไปหน่อยทำให้วางลำบากโดยเฉพาะคนที่ใส่เคสกันกระแทกขนาดใหญ่ รวมถึงวัสดุตกแต่งตามจุดต่างๆ ตั้งแต่แผงคอนโซลหน้าไปจนถึงแผงประตูที่ยังดูไม่พรีเมี่ยมและปราณีตเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xpander และสุดท้ายคือเบรกมือไฟฟ้าที่ทำงานค่อนข้างช้า มีจังหวะดีเลย์ประมาณ 3-4 วินาที กว่าเบรกจะทำงาน

    Engine&Transmission

    ในด้านการขับขี่นั้นแม้คันเร่งจะไว ตอบสนองได้ดีเวลาขับในเมืองที่ดูกระปรี้กระเป่าก็จริง แต่ในช่วงที่ต้องเค้นพลังกลับรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของเครื่องยนต์ที่ต้องแบกตัวถังขนาดใหญ่ โดยใช้รอบที่ฟาดตึงขึ้นไปรอ พร้อมเสียงครางของเครื่องที่ดังหึ่งเข้ามาในห้องโดยสารจนรู้สึกได้ โดยเฉพาะช่วงเร่งแซงบนถนนที่ใช้ความเร็วๆสูง ที่ต้องเค้นพลังกันเต็มที่อาจต้องคิดคำนวณเผื่อระยะสักหน่อยเพื่อความปลอดภัย หรือไม่ก็อาศัยโหมด Sport หรือชิฟเกียร์เองเพื่อช่วยเพิ่มความทันใจขึ้นมาอีกนิดในช่วงเร่งแซง

    Handling&Ride

    สำหรับการขับขี่ รู้สึกได้ถึงช่วงล่างที่มีอาการสะเทือนค่อนข้างมาก ช่วงที่ขับผ่านถนนขรุขระ หรือรอยต่อพื้นถนน โดยเฉพาะจังหวะที่ขับทับเส้นถนนหรือเส้นชะลอความเร็วที่เรียงถี่ๆยิ่งรู้สึกชัด บวกกับจังหวะรีบราวด์ที่ยืดยุบเยอะไปนิด วิ่งช้าๆเรียบๆก็นุ่มดี แต่พอเจอคอสะพานทีนี่โดดเด้งใช้ได้เลย

    เช่นเดียวกับระบบเบรกที่เลือกใช้ดิสก์ 4 เหนือคู่แข่ง แต่กลับให้จังหวะเบรกที่ไม่ค่อยทันใจ ทำให้ต้องกะระยะการเบรกเผื่อไว้พอสมควร เพื่อให้หยุดได้ในจังหวะที่ต้องการพอดี

    Safety&Feature

    ปิดท้ายด้วยระบบความปลอดภัยที่ยอมรับว่าให้มาครบไม่เป็นรองคู่แข่งอย่างแน่นอน แต่ถึงจะเยอะก็ยังมีบางอย่างที่ยังทำงานได้ไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่นัก อย่างไฟหน้าแบบ Auto Hi Beam ที่ทำงานรวดเร็วเกินไป บางทีในจังหวะที่รถคันหน้าเข้าโค้งพ้นรัศมีหน้าเรารถไปนิดเดียวไฟสูงก็ติดขึ้นทันที กลายเป็นเหมือนเราดิ๊บไฟสูงใส่คันหน้า โดยเฉพาะโค้งแคบๆ ดังนั้นถ้าถนนไม่โล่งจริงๆแนะนำว่าไม่ต้องเปิดไฟออโต้จะดีกว่า อย่างที่ 2 คือระบบช่วยเบรกที่ทำงานเร็วและตอบสนองค่อนข้างดี

    แต่ในจังหวะที่เบรกเหมือนว่าจะดึงให้รถหยุดได้ไม่สนิทนัก มีจังหวะแถมนิดนึงให้รู้สึกเสียวได้ ทางที่ดีอย่าขับจี้คันหน้าเป็นดีที่สุด

    อีกอย่างคือปุ่มเปิด-ปิด ระบบต่างๆรวมถึงไฟแสดงสถานะการทำงานที่ค่อนข้าง งง อย่างปุ่มเปิด-ปิดระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงแผงคอนโซลด้านล่างข้างพวงมาลัยฝั่งขวา ถ้ากดทีเดียวจะปิดระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน แต่ถ้ากดค้างถึงจะปิดเตือนการชน ทำเราหาวิธีปิดกันอยู่นาน ควรทำปุ่มแยกหรือไม่ก็ให้เข้าไปเซ็ตในหน้าจอสักอย่างก็จบ

    เช่นเดียวกับไฟ auto hold ที่มีถึง 2 ดวง สีเขียวสแตนบาย พอรถหยุดสนิทสีส้มติดขึ้นอีกดวงแสดงว่าทำงานแล้ว ซึ่งที่จริงมีแค่ดวงเดียวก็พอ และสุดท้ายที่ขาดหายไปและควรมีมากๆ แต่กลับไม่มีนั่นคือระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติ cruise control ซึ่งก็ทำเอาเรา งง ไปอีกหนึ่งดอกว่าทำไมไม่ให้มา ไม่ต้องถึงกับเป็น Adaptive ขอแค่แบบพื้นๆที่ชาวบ้านเค้ามีกันก็พอแล้ว

    ในชั่วโมงนี้ต้องบอกเลยว่าในกลุ่มตลาด Mini MPV เจ้า Toyota Veloz คันนี้นี่แหละ Hot และกำลังมาแรงแซงทางโค้งไล่เก็บยอดขายแซงหน้าคู่แข่งอย่างต่อเนื่องได้ไม่ยาก เพราะไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ดูจะได้เปรียบไปหมด ทั้งหน้าตาที่สดใหม่และลงตัว ออฟชั่นที่อัดแน่นเกินราคา 8.75 แสนบาท ในรุ่นท็อป Premium แถมภายในก็กว้างนั่งสบาย ที่สำคัญระบบความปลอดภัยเยอะ ขนาดนี้ยังไม่มีคู่แข่งเจ้าไหนเทียบชั้นได้แน่นอน เท่านี้ก็ทำให้หลายคนมองข้ามเรื่องการขับขี่ที่อาจไม่ได้เด่นกว่าใครๆ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆบางอย่างที่ควรมีแต่กลับหายไปได้ไม่ยาก บวกกับชื่อชั้นของแบรนด์กับราคาที่จับต้องได้ และนี่ก็คือเหตุผลที่จะทำให้ Toyota Veloz น่าจะกลับมาครองตำแหน่งรถครอบครัวที่ขายดีอีกครั้งได้ไม่ยากเลย คุณว่าจริงไหมครับ?


    บทความอื่น ๆ 

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts