Mercedes-Benz GLC เจเนอเรชันที่ 3 เสริมทางเลือกด้วยการแนะนำรุ่น GLC 220 d 4MATIC ในราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทอย่างเป็นทางการ
ในรหัส X254 กับรุ่นย่อยใหม่ Mercedes-Benz GLC 220 d 4MATIC Avantgarde ประกอบในไทย Local Production นำเสนอคอนเซ็ปต์ “READY FOR IT” ชูภาพยนตรกรรมเหนือระดับโดยที่ยังคงจุดแข็งในด้านของการเป็นรถเอสยูวีที่เหมาะกับการขับขี่ทั้งในรูปแบบ On-Road และ Off-Road ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ภายนอกมาพร้อมดีไซน์ตามปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราอย่างลงตัว
ด้วยชุดตกแต่งสไตล์ Avantgarde กระจังหน้าแบบ Star pattern กันชนหน้าดีไซน์ใหม่แบบ A-shape มาพร้อมไฟหน้าแบบใหม่ LED High Performance พร้อมปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) กันชนหน้าเสริมคิ้วโครเมียมที่ช่องระบายอากาศ เสริมความดุดันตามสไตล์รถ SUV ด้วยการตกแต่งด้วยราวหลังคาอลูมิเนียม บันไดข้างแบบสแตนเลสดีไซน์สปอร์ต กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ไฟส่องทางใต้กระจกมองข้างแสดงผลเป็นตราสัญลักษณ์ Mercedes–Benz ล้ออัลลอยแบบ 10 ก้านคู่ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/55 R19 ไฟท้าย LED รวมถึงดีไซน์ด้านท้ายที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยโลโก้ดาวสามแฉกคิ้วกรอบป้ายทะเบียนอยู่แนวเดียวกับชุดไฟท้าย กันชนหลังใหม่แบบสีทูโทน
มอบความสะดวกสบายด้วยมิติตัวถังขนาดความยาว 4,716 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,918 มิลลิเมตรความสูง 1,631 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,888 มิลลิเมตร ความสูงจากใต้ท้องรถ 145 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,000 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 62 ลิตร
ภายในห้องโดยสารตกแต่งแบบความหรูยังแฝงความสปอร์ตตั้งแต่เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Comfort Seats ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า 10 ทิศทางพร้อม memory seat 3 ตำแหน่งพร้อมระบบดันหลัง 4 ทิศทาง แบบ Lumbar support เบาะหลังพับได้แบบ 40:20:40 มีการดีไซน์พื้นที่บรรทุกสัมภาระใหม่แบบ Flat trunk floor ความจุสูงถึง 470 ถึง 1,530 ลิตร หุ้มด้วยหนัง ARTICO man-made ลวดลายแบบ NAPPA แผงคอนโซลกลางใช้วัสดุแบบ High-Gloss Black สีดำเงา และ Metal Structure trim คอนโซลหน้าและแผงประตูหุ้มหนัง ARTICO man-made ตกแต่งลวดลายแบบ NAPPA และวัสดุตกแต่งห้องโดยสารแบบ Anthracite linestructure lime word trim
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันเจเนอเรชั่นที่ 5 หุ้มหนัง ระบบเสียงรอบทิศทางทรงพลังด้วยลำโพง 15 ตำแหน่ง ไฟตกแต่งห้องโดยสารแบบ Premium Ambient Lighting ปรับได้ 64 เฉดสี ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONICระบบฟอกอากาศแบบ ENERGIZING AIR CONTROL ระบบตรวจวัดระดับฝุ่นละออง PM 2.5 ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบ Wireless charging และช่อง USB Type–C 6 ตําแหน่ง
ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอีกหลายรายการที่ถูกติดตั้งมาอย่างครบครัน ผสานระบบการเชื่อมต่อและการสื่อสารที่เหนือระดับในยุคดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อโดยมีการดีไซน์การใช้งานในรูปแบบ Digital cockpit เพิ่มความลงตัวในการควบคุมระบบต่างๆ ภายในรถ ติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Digital Instrument cluster ขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอตรงกลางความละเอียดสูงขนาด 11.9 นิ้ว ควบคุมผ่านระบบสัมผัส ทำงานควบคู่กับ MBUX7 ที่สามารถเรียนรู้ผู้ใช้งานด้วยระบบ AI และปรับระบบการใช้งานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงการประเมินสถานการณ์ต่างๆ เพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างระบบกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น
ผสานการทำงานกับระบบ Mercedes me connect ในการเชื่อมต่อกับโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างไร้ขีดจำกัด รองรับการสั่งงานด้วยเสียงถึง 27 ภาษา ทั้งยังปลอดภัยด้วยการเข้าใช้งาน User profile แบบ Fingerprint scanner ที่ใช้ลายนิ้วมือยืนยันผู้ใช้งานในตำแหน่งผู้ขับขี่ผ่านการเชื่อมข้อมูลใน Mercedes me PIN บนโทรศัพท์มือถือ มีระบบแผนที่นำทางแบบ Hard-disc navigation แสดงผลแบบ 3 มิติ พร้อมระบบ MBUX Augmented Reality ที่ผสานเทคโนโลยี AR แสดงภาพสัญลักษณ์การนำทางบน Navigation display ที่แสดงภาพถนนจริง ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการนำทางมากยิ่งขึ้น
ขุมพลังใหม่ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร OM654 M ให้กำลังมากถึง 197 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 440 นิวตันเมตรที่ 1,800 ถึง 2,800 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบ Mild Hybrid สทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้านี้จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ในขณะเบรก สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเงียบ ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลและลดการสั่นในการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะใช้งาน Eco Start/Stop และยังช่วยเพิ่มแรงบิดและรอบเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิต่ำ โดยมอบพละกำลังได้สูงถึง ให้กำลังถึง 23 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร
สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียง 8 วินาที ความเร็วสูงสุด 219 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ยังทรงพลัง และสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 6.5% ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4MATIC มาพร้อมช่วงล่างแบบ Comfort Suspension ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลแบบมีระดับ
สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานที่ครบครันพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety อาทิ ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE ไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Adaptive brake light) ช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) แจ้งเตือนก่อนออกจากรถแบบ exit warning ช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ รักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร แจ้งเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system) กล้องรอบคัน 360° ที่ให้การแสดงผลแบบ Transparent bonnet ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นภาพจริงในจุดอับสายตาบริเวณหน้ารถ และปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยวรถ (Cornering light)
นอกจากนี้ยังได้เสริมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่แบบออฟโรดในทุกเส้นทางด้วยการติดตั้ง OFF-ROAD Engineering Package สำหรับปกป้องตัวถังรูปแบบใหม่ที่แข็งแรงทนทานด้วยโครงสร้างแบบ underbody protection ควบคู่ไปกับหน้าจอแสดงผลที่สามารถรายงานทุกข้อมูลภายนอกตัวรถ โดยจำหน่ายในราคา 3,720,000 บาท พบตัวจริงได้ที่งาน Motor Expo 2023