More

    MG4 Electric 2024 อีวีประกอบไทยวิ่งไกล 540 กม. เริ่ม 709,900 บาท

    ครั้งแรกของค่าย MG ที่ตัดสินใจประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศกับ MG4 Electric รุ่นปี 2024 ครั้งนี้ปรับลุคใหม่เพิ่มพลังเพิ่มระยะทางไกลขึ้น

    MGMG4 Electric MY2024 ประกอบไทยหน้าตาเหมือนเวอร์ชันนำเข้าหล่อตั้งแต่ออกแบบตัวรถใหม่แบบ AVANT-GARDE INDUCTIVE DESIGN ไฟหน้าดีไซน์หกเหลี่ยม LED GALAXY TECHNOLOGY MATRIX HEADLIGHTS พร้อมไฟ DRL แบบ LED กระจังหน้า ดีไซน์ ‘shark-nosed’ เส้นแนวตั้ง 2 เส้น Fins รวมอยู่ด้วย โดยรวมด้านหน้ามาในแบบรูปตัว X

    ไฟท้าย LED ลาย CGYNUS SYMBOL DECORATIVE LIGHT หลังคาแบบทูโทน พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบ TWIN ARROW WING กันชนหลังทรงสปอร์ต ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว พร้อม AERO WHEEL COVER ในรุ่น STANDARD RANGE ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55R17 และรุ่น LONG RANGE ด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลายเดียวกับรุ่น X POWER พร้อมยาง 235/45R18 และเพิ่มที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง มาพร้อม Adaptive Grille ที่สามารถปรับองศาให้สอดคล้องกับความเร็วได้

    จากแพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะสามารถนำไปปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์ หลายขนาด ตั้งแต่รถแฮทช์แบ็ค ซีดานไปจนถึงรถกระบะ รวมถึงรองรับแบตเตอรี่หลากหลายความจุตั้งแต่ ความยาว 4,287 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,836 มิลลิเมตร ความสูง 1,516 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มิลลิเมตร

    MGภายในเรียบง่ายมีสไตล์เน้นการใช้งานที่สะดวกตั้งแต่ คอนโซลกลาง FLOATED CENTRAL CONTROL PLATFORM ดีไซน์เรียบง่ายติดตั้ง อุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless charger) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หุ้มหนังปรับ 4 ทิศทางมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ–วางสายโทรศัพท์

    กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) หน้าจอสีระบบสัมผัสรองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดียแบบไร้สายจากสมาร์ทโฟนระบบ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมลำโพง 6 จุด ช่องเชื่อมต่อ USB TYPE A และ C ช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V เย็นสบายด้วยระบบปรับอากาศดิจิตอล พร้อมกรองอากาศ PM2.5

    MGเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังพนักพิง ปรับ 60:40 โหมด Intelligent Smart Access เมื่อผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งคนขับเพียงเหยียบเบรกระบบการทำงานของรถจะสตาร์ทอัตโนมัติ โดยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานกับ ช่องวางแก้วด้านข้างประตู

    เพิ่มราวมือจับสำหรับผู้นั่งโดยสาร (Assist Grip) 3 ตำแหน่ง และจอสัมผัสขนาดใหม่ 12 นิ้ว จากเดิม 10.25 นิ้ว รวมถึงภายในมาในโทนสีดำในรุ่น Standard Range D ภายในสีทูโทนเทา-ดำ ในรุ่น Standard Range X และรุ่น Long Range V

    พร้อมระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ (Smart Check) ที่ครอบคลุมระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่และการชาร์จ ไปจนถึงการค้นหาสถานีชาร์จ โดยล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ BATTERY DOCTOR บนแอพพลิเคชั่น MG THAILAND บันทึกและวิเคราะห์ พฤติกรรมการใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งาน ท้ายที่สุด ยังช่วยให้การเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ง่ายยิ่งขึ้นด้วยระบบสั่งการอัจฉริยะ (Smart Command) และ ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Smart Connect)

    ขุมพลังไฟฟ้าที่จำหน่ายในไทยเป็นมอเตอรไฟฟ้าเดี่ยว Permanent Magnet Synchronous Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 1,000-3,500 รอบต่อนาที ครั้งนี้เพิ่มมาเป็นสองทางเลือกเริ่มที่รุ่น Standard Range D กับ X จากความจุแบตเตอรี่ 49 kWh (เดิม 51 kWh) วิ่งไกลสุด 423 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC  (เดิม 425 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง)

    ระบบการชาร์จ 2 รูปแบบ รองรับทั้งแบบ ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge DC กระแสตรงชาร์จไฟฟ้าจาก 10%-80% ใช้เวลาประมาณ 35 นาที รองรับการชาร์จสูงสุด 88 kWh ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge AC กระแสสลับ ผ่าน MG HOME CHARGER 0%–100% ใช้เวลาประมาณ 8.30 ชั่วโมง รองรับการชาร์จสูงสุด 6.6 kW

    รุ่น Long Range V แรงม้าแรงบิกเท่ากัน จากความจุแบตเตอรี่ 64 kWh วิ่งไกลสุด 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ระบบการชาร์จ 2 รูปแบบ รองรับทั้งแบบ ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge DC กระแสตรงชาร์จไฟฟ้าจาก 10%–80% ใช้เวลาประมาณ 26 นาที รองรับการชาร์จสูงสุด 140 kWh ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge AC กระแสสลับ ผ่าน MG HOME CHARGER 0%–100% ใช้เวลาประมาณ 9.45 ชั่วโมง รองรับการชาร์จสูงสุด 6.6-11 kW

    MGทั้งสองรุ่นมาพร้อมโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT, CUSTOM และ SNOW คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถ 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE)

    ชุดแบตเตอรี่มาพร้อมเทคโนโลยี RUBIK’s CUBE BATTERY จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอน ระบายความร้อนได้เป็นอย่างดีด้วยระบบ LIQUID COOLING SYSTEM ตามมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ง่าย สะดวกสบาย รองรับระบบ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า

    ควบคุมที่มั่นใจกับพวงมาลัย DUAL PINION ควบคุมด้วยไฟฟ้าให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตรการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ควบคู่กับการออกแบบลักษณะ Low Centre of Gravity ที่ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมากเพียง 490 มม. ความสนุกสนานในการขับขี่ ทั้งอัตราเร่งที่ทันใจ พวงมาลัยที่ตอนสนองฉับไวเข้าโค้ง มั่นใจด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension

    ความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System 26 ระบบ ทั้ง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)

    ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System)ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)

    เฉพาะรุ่น Standard Range X และรุ่น Long Range V มีระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System) ผสานรวมระบบ LDP (Lane Departure Prevention) LKA (Lane Keep Assist) และ ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เข้าไว้ด้วยกัน

    ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ช่วยเบรกขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Braking) ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) และกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง

    จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ ม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 จุด ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home) ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)

    ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ป้องกันล้อหมุนฟรีกับควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist) สัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) และ กล้องมองภาพด้านหลัง พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ในรุ่น Standard Range D

    MG4 Electric MY2024 ประกอบไทยมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี ทั้งสีส้ม (Fizzy Orange) สีขาว (Arctic White) สีเทา (Andes Grey) สีดำ (Black Knight) และเฉพาะสีฟ้า (Brighton Blue) มีในรุ่น Standard Range X และรุ่น Long Range V พร้อมหลังคาแบบทูโทน (Blacktop) ในรุ่น Standard Range X และรุ่น Long Range V  ในราคาดังนี้

    • รุ่น Standard Range D ราคา 709,900 บาท (ส่งมอบตั้งแต่ เมษายน)
    • รุ่น Standard Range X ราคา 809,900 บาท (ส่งมอบตั้งแต่ เมษายน)
    • รุ่น Long Range V ราคา 889,900 บาท (ส่งมอบตั้งแต่ มิถุนายน)

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts