ต้องบอกก่อนว่ารถใหม่ค่าย Nissan ที่จะเปิดในไทยจะมีแค่ Nissan Serena รวมถึง Nissan ALMERA MY2024 และรุ่นอื่นๆ ยกเว้น Nissan X-Trail เจนที่ 4
โดยได้รับข้อมูลว่าในไทยจะไม่ขายเจนที่ 4 อย่างแน่นอนและเจนที่ 5 ของ Nissan X-Trail จะออกมาสู่ตลาดโลกอีก 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งในไทยเตรียมพบกันในอีก 2-3 ปี้ข้างหน้า ล่าสุดที่สหรัฐอเมริกาเปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่หรือ MY2025 พร้อมยังแนะนำรุ่นพิเศษมาดลุย Nissan X-Trail Rock Creek edition หรือ Nissan Rouge Rock Creek edition
ภายนอก
ตกแต่งเพิ่มเติมเริ่มที่ด้านหน้าปรับในส่วนชุดกันชนหน้าดีไซน์ใหม่มาในแบบทูโทนสีเดียวกับตัวรถสีดำเงาพร้อมคิ้วกันชนหน้าขนาดใหญ่สีดำขลิบแดงลาวา 2 จุด ชุดกระจังหน้ารูปตัววี V-motion สีดำเงา สีเงินขนาดใหญ่เติมเส้นแนวนอน ถึงจะซับซ้อนแต่ก็หรูหราพร้อมตราโลโก้ Nissan สีดำขลิบแดงลาวา ไฟหน้า multi-level LED ดีไซน์เรียวอยู่ด้านล่างพร้อมไฟ Adaptive LED ให้เลือก ขยับขึ้นไปเป็นไฟ DRL อยู่บนสุดและไฟเลี้ยวอยู่ในชุดเดียวกัน
ด้านข้างสีดำเงาไม่ว่าจะเป็นกระจกมองข้างทรงสปูน ตราสัญลักษณ์ Rock Creek ราวหลังคาขนาดใหญ่ด้านท้ายมีการปรับแค่กันชนหลังพร้อมดิฟิวเซอร์สไตล์ลุยสีดำขนาดใหญ่ครอบทับ ชุดไฟท้าย LED สไตล์บูมเมอแรงโคมเดิมเพิ่มการมองเห็นได้ชัดขึ้น ประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติพร้อมระบบแฮนด์ฟรี เสริมหล่อกับเสาอากาศครีบฉลาม ล้ออัลลอยลายใหม่ 6 ก้านคู่สีดำซาตินขลิบแดงลาวาขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/65R17 เป็นยาง Falken Wildpeak all-terrain
ส่วนรุ่นปกติยังคงเดิมด้วยชุดกันชนหน้าดีไซน์ใหม่รวมถึงชุดกระจังหน้ารูปตัววี V-motion ขนาดใหญ่เติมเส้นโครเมียมแนวนอน 5 ชั้น ถึงจะซับซ้อนแต่ก็หรูหรา พร้อมไฟหน้า multi-level LED ดีไซน์เรียวอยู่ด้านล่างพร้อมไฟ Adaptive LED ให้เลือก ขยับขึ้นไปเป็นไฟ DRL อยู่บนสุดและไฟเลี้ยวอยู่ในชุดเดียวกัน ด้านท้ายมีการปรับแค่กันชนหลังส่วนชุดไฟท้าย LED สไตล์บูมเมอแรงโคมเดิมเพิ่มการมองเห็นได้ชัดขึ้น
ราวหลังคาสีเงินขนาดใหญ่ หลังคารถ คิ้วขอบล้อสีดำ กระจกมองข้างทรงสปูนตกแต่งสีดำเงาให้เลือกในรุ่นสีทูโทน ประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติพร้อมระบบแฮนด์ฟรี เสริมหล่อกับเสาอากาศครีบฉลาม ล้ออัลลอยลายใหม่ที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R19 และขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/60R18
ภายใน
รุ่น Rock Creek เพิ่มความเท่ด้วยเบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายสีแดงลาวา Lava Red ติดตรา Rock Creek บนเบาะคู่หน้า พร้อมกันเหงื่อกันความชื้นซึม และกันน้ำไปในเบาะแบบ Tailor Fit™ และ Cell-Cloth® แบบ 2 ตอน 5 ที่นั่ง โดยที่นั่งตอน 2 สามารถเลื่อนและพับเก็บแบบ 60:40 คอนโซลหน้าตกแต่งแบบสีดำเปียโนแบล็คหุ้มหนังสัมผัสสีดำเดินด้ายสีแดงลาวา พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน ดีไซน์ใหม่ มาตรวัดพร้อมจอ MID ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ลำโพงคุณภาพ 6 จุด เครื่องปรับอากาศแยกโซน 3 Zone ซ้าย-ขวา และด้านหลัง คอนโซลเกียร์ทรงใหญ่โตจับกระชับ ช่องเชื่อมต่อ USB type C
จอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้วทันสมัยด้วยระบบ Google built-in ในตัว เรียกใช้งาน Google Maps, Google Assistant และ Google Play ดาวน์โหลดแอปได้ รวมไปถึงเพลง พอดแคสต์รองรับ Android Auto แบบไร้สายอัปเดตออนไลน์ over-the-air ให้ทันสมัยตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นระบบความบันเทิง ระบบต่างๆที่เกี่ยวเนื่องในชุดจอสัมผัส พร้อม Nissan Connect ระบบชาร์จมือถือไร้สาย wireless charging ม่านบังแดดประตูหลังซ้าย-ขวา ช่องเชื่อมต่อ USB type C ทั้งแบบ 2 จุดด้านหน้าและเพิ่มอีก 2 จุดด้านหลัง
ด้านรุ่นปกติคงเดิมระบบความบันเทิง ระบบต่างๆที่เกี่ยวเนื่องในชุดจอสัมผัส 12.3 นิ้วในรุ่น SL และ Platinum และยังมีขนาด 8 นิ้วในรุ่น S, SV รองรับ Android Auto แบบไร้สายในรุ่น SL และ Platinum กับแบบเสียบสายในรุ่น S และ SV ด้าน Apple CarPlay ยังไร้สายเช่นเดิม อัปเดตออนไลน์ over-the-air ให้ทันสมัยตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นชุดแผงคอนโซลหน้าแนวลักชัวรี่สีทูโทน มาตรวัดดิจิตอล Full LCD ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และจอ MID 7 นิ้ว พร้อมลำโพงคุณภาพ 4 กับ 6 และ 10 จุด จาก Bose จอแสดงข้อมูลเหนือคอนโซลหน้าสี head-up display 10.8 นิ้ว เครื่องปรับอากาศแยกโซน 3 Zone ซ้าย-ขวา และด้านหลัง คอนโซลเกียร์ทรงใหญ่โตจับกระชับ
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ NAPPA สีแทนกับเบาะกึ่งหนังแท้สีดำมาพร้อมกันเหงื่อกันความชื้นซึมไปในเบาะแบบ Tailor Fit™ และ Cell-Cloth® และยังมีเบาะผ้าให้เลือก มีทั้งแบบ 2 ตอน 5 ที่นั่ง โดยที่นั่งตอน 2 สามารถเลื่อนและพับเก็บแบบ 60:40 ระบบชาร์จมือถือไร้สาย wireless charging ม่านบังแดดประตูหลังซ้าย-ขวา ช่องเชื่อมต่อ USB type C ทั้งแบบ 2 จุดด้านหน้าและเพิ่มอีก 2 จุดด้านหลังในรุ่น SV ขึ้นไป
ขุมพลัง
ยังคงเดิมกับเบนซิน VC Turbo ขนาด 1.5 ลิตร รหัส KR15DDT มาพร้อมอัตราส่วนกำลังอัดตั้งแต่ 8:1-14:1 ให้กำลังมากสุด 204 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 2,800-4,000 รอบต่อนาทีคู่กับเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อ Intelligent All Wheel Drive และขับเคลื่อนล้อหน้า
ความปลอดภัย
Nissan Safety Shield 360 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อยทั้ง
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor 3D พร้อม Off-Road view
- เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ Intelligent Forward Collision Warning
- เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ Intelligent Emergency Braking
- เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย Rear Automatic Emergency Brake
- ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection
- ตรวจสอบจุดอับสายตา Blind Spot Warning
- ช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert
- เตือนออกนอกเลน Lane Departure Warning
- ไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist
- เบรกหลังอัตโนมัติ Rear Automatic Braking
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ Intelligent Cruise Control พร้อมดึงกลับเข้าเลนอัตโนมัติ Lane-Keeping Assist
- ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control
- ขับขี่อัตโนมัติ ProPILOT Assist ในรุ่น SV และ Rock Creek
- ช่วยควบคุมพวงมลัย Steering Assist
- ขับขี่อัตโนมัติ ProPILOT Assist 1.1 ในรุ่น SL และ Platinum รองรับข้อมูลการนำทางเพื่อปรับความเร็วก่อนเข้าโค้งและทางแยกต่างระดับทางหลวง
- ขับขี่อัตโนมัติ ProPILOT Assist ครั้งนี้มาในเวอร์ชันใหม่ 2.1 ควบคุมการเร่งความเร็ว ระบบช่วยบังคับเลี้ยว และการเบรกบนทางหลวง ช่วยให้คนขับสามารถละมือออกจากพวงมาลัยขณะขับขี่ได้ ในรุ่น SL และ Platinum เป็นออปชันเสริม
Nissan X-Trail หรือ Nissan Rouge MY2025 ขายที่สหรัฐอเมริกามีสีภายนอกรถได้แก่ สีน้ำเงิน Deep Ocean Blue Pearl, สีครีม Baja Storm, สีขาว Everest White Pearl และสีดำ Super Black ในรุ่น Rock Creekพร้อม สีทูโทนพร้อมหลังคาสีดำตัดกัน ทั้งรุ่น S, SV, SL, Rock Creek และ Platinum เตรียมขายอเมริกาช่วงเดือนสิงหาคม
ที่มา Nissan USA
