นับตั้งแต่จำหน่ายในไทยเมื่อปี 2560 ได้รับการตอบรับอย่างดีกลายเป็นรถยอดนิยมขายดีมากกว่า 280,000 คันสำหรับ Toyota YARIS ATIV
และล่าสุด Toyota YARIS ATIV HEV เปิดตัวเมื่อ 21 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมาเพื่อเป็นการสร้างกระแสความนิยมสานต่อยอดขายอันดับ 1 ทาง Toyota จึงจัดกิจกรรมทดสอบให้กับสื่อมวลชนสายรถยนต์หลายสำนักรวมถึง Car2Day ร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจบนเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง-ชลบุรี (พัทยา) ระยะทาง 292 กิโลเมตร โดยได้รุ่น GR Sport มาขับตลอดการทดสอบ
Design & Exterior
Toyota Yaris ATIV HEV GR Sport มาในสไตล์ซีดาน Fastback ด้วยหน้าตาที่เปลี่ยนไปดังนี้
- กระจังหน้าด้านบนด้านล่างสีดำเงาในรุ่น GR Sport
- ชุดแต่ง GR Sport ได้แก่ สเกิร์ตด้านหน้า ชุดสเกิร์ตข้าง สเกิร์ตกันชนหลังและสปอยเลอร์หลัง
- หลังคาดำพร้อมเสาอากาศครีบฉลามสีดำ
- กระจกมองข้างสีดำ
- ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 205/50R17
พร้อมออปชันยกมาจากสันดาปทั้งไฟหน้า LED และไฟ DRL แบบ LED Light Guiding ในโคมเดียวกันรูปตัว J กระจกโอเปร่า กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว LED และพับเก็บอัตโนมัติ ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่พร้อมไฟเลี้ยววิ่ง Sequential Light
Dimension
ตัวรถสร้างขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม DNGA platform แบบโมโนค็อก มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเอาบอดี้ตัวรถของ ATIV 1.2 มาครอบทับกับพื้นแชสซีส์ที่มีการผสมผสานกันระหว่างส่วนหน้าและท้ายของ YARIS Cross HEV เพื่อการวางเครื่องและชุดแบตเตอรี่และส่วนกลางของ ATIV 1.2 เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ใช่เอาของ ATIV 1.2 มาทั้งหมด
เสริมความแข็งแกร่งในการเชื่อมชิ้นส่วนต่างๆ ของโครงสร้างและตัวถังเข้าด้วยกันด้วยการเสริมแพล่างหรือ Sub Frame มากถึง 24 จุด รวมถึงการเชื่อมเฉพาะจุดหรือ Spot Welding ทั้งในพื้นแชสซีส์ซ้าย-ขวาส่วนกลาง และโครงเสาหลังคารถให้หนามากขึ้น ดึงจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง ช่วยเพิ่มความมั่นคงขณะเข้าโค้ง และจากการปรับปรุงตัวถังแล้วส่งผลให้มิติตัวรถใหญ่ขึ้นทันตา ดังนี้
- ความยาว 4,440 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,740 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,480 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,620 มิลลิเมตร
- ความสูงใต้ท้องรถ 160 มิลลิเมตร
- ความจุถังน้ำมันลดลงเหลือ 36 ลิตร
Interior & Convenience
โดยในรุ่น GR SPORT มีการเพิ่มออปชันมาเสริมความเท่ทั้ง เบาะหนังสังเคราะห์สีดำและพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านตกแต่งสีเงินเมทัลลิก รมดำ พร้อมโลโก้ GR หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว (เดิม 9 นิ้ว) พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย
แผงคอนโซลหน้าดีไซน์สปอร์ตบริเวณผิวสัมผัสหุ้มหนังสังเคราะห์ Premium Soft Touch พร้อมตกแต่งด้วยแถบสีเงินเมทัลลิก ช่องต่อ USB ด้านหลัง กล้องบันทึกเหตุการณ์หน้ารถ ลำโพงติดรถ 6 จุด จาก Pioneer พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน มาตรวัดดิจิตอลแบบจอสี TFT 7 นิ้ว
เบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อม Auto Hold ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจวัดกรองฝุ่น PM 2.5 พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ที่วางแก้วน้ำ แก้วกาแฟ มีถึง 4 ตำแหน่งรอบคัน กระจกแต่งหน้าขนาดใหญ่พิเศษแต่ให้ฝั่งคนขับและไม่มีไฟส่องแต่งหน้า LED สีขาว และ ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Ambient light 64 เฉดสี
เบาะนั่งคนขับปรับสูงต่ำด้วยมือถึง 6 ทิศทางส่วนเบาะนั่งด้านหลังมาพร้อมพนักพิงศีรษะ 3 จุด ที่พนักพิงศีรษะ ซ้าย-ขวาเป็นแบบยึดกับตัวเบาะปรับไม่ได้ซึ่งเป็นข้อเสียแถมไม่มีที่วางแขนในชุดเบาะหลังรวมถึงไม่สามารถพับแบบ 60/40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการวางสัมภาระ แต่อย่างน้อยนั่งหน้านั่งหลังสบายไม่เมื่อยด้วยการเสริมฟองน้ำและผิวสัมผัสหนังให้หนาและสบายมากขึ้นในการเดินทาง
พร้อม T-Connect ที่จะคอยดูแลผู้ขับขี่ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านระบบต่างๆ เช่น ระบบติดตามรถหาย Theft Track การแจ้งเตือนการบำรุงรักษาผ่านระบบดิจิทัล Digital Maintenance Reminder การจองผ่านระบบดิจิทัล Digital booking ระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS และบริการผู้ช่วยส่วนตัว Concierge service
Performance & Transmission
ขุมพลังใหม่นี้ยกมาจาก Yaris Cross นั่นเองกับเบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 2NR-VEX ให้กำลัง 91 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 121 นิวตันเมตรที่ 4,000- 4,800 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าประเภทซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 580 V ให้กำลัง 80 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ Lithium-ion แรงดันไฟฟ้า 177.6 V ความจุไฟฟ้า 4.3 Ah (0.77 kWh)
เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้าสูงสุด 111 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT รหัส P910 พร้อมโหมดการขับขี่สามโหมดทั้งโหมด Power, Normal, ECO รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด E20 พร้อมอัตราการใช้เชื้อเพลิงสูงสุด 27.8 กิโลเมตรต่อลิตร ตาม ECO Sticker
Handling & Ride
เส้นทางการขับขี่ กรุงเทพฯ-ระยอง-พัทยา 292 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่ใช้งานประจำวันเริ่มออกจาก Toyota ALIVE บางนา เข้าวงแหวน มอเตอร์เวย์ถนนหมายเลข 9 เพื่อเข้าถนนหมายเลข 7 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 344 เส้นหนองใหญ่-วังจันทร์ เลี้ยวซ้ายไปถนนเมืองแกลง จังหวัดระยอง จนถึงถนนสุขุมวิท หมายเลข 3
เป็นทางหลวงยาวๆ มีในเมืองบ้างช่วงติดไฟแดงหรือการจราจรหนาแน่น สมรรถนะเครื่องทำงานสมูทราบเรียบการสลับไปมาระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้านั้นไม่กระตุกจากการออกตัวโดยระบบไฮบริดใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วย การขับขี่ปกติทำงานร่วมกัน การเร่งแซงในจังหวะต่างๆมีกำลังต่อเนื่องโดยเครื่องยนต์เป็นพระเอกเมื่อความเร็วตั้งแต่ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อการจราจรบนถนนหลวงโล่งเอื้อเร่งแซงคันอื่นก็มาแบบพุ่งติดจรวดจนต้องมามองมาตรวัดแล้วว่าเดี๋ยวเข้า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วหรือนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนการชะลอความเร็ว ใช้มอเตอร์และแบตเตอรี่ ทำงานเป็นหลักเพิ่มความประหยัดน้ำมันลดภาระเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ
ทางด้านเกียร์ E-CVT แม้จะเป็นลูกเดียวกับ YARIS CROSS แต่ปรับอัตราทดเฟืองท้ายเหลือ 3.2186 เซดเกียร์มาดีราบรื่นในทุกจังหวะเปลี่ยนเกียร์มาเพื่อเน้นความประหยัดจริงๆโดยไม่กระทบในเรื่องความแรงของพลังฟูลไฮบริด พร้อมโหมดการขับขี่เน้นใช้ ECO หรือ Normal ในยามขับทั่วๆไป และโหมด Power เรียกกำลังได้มั่นใจเพื่อเร่งแซง
ส่วนการเก็บเสียงนั่นเงียบตั้งแต่ 60-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยการบุวัสดุซับเสียงเพิ่มหลายจุดในพื้นที่ส่วนล่างของรถฉีดโฟมเพิ่มที่ใต้ท้องรถ มีฉนวนซับเสียงซุ้มล้อหน้าและฉนวนเข้าห้องโดยสารเรียกว่าอภิรมย์สราญใจทุกการเดินทาง
ด้านอัตราสิ้นเปลืองจากมาตรวัดทำได้ 28.1 กิโลเมตรต่อลิตรจากการเดินทาง 127 กิโลเมตรแรกเรียกว่าประหยัดเกินหน้าคู่แข่ง ตรงกับการใช้งานจริงๆแม้ตัวเลขอาจเกินไปนิดตามที่โรงงานเคลมไว้ ส่วนการใช้งานทั่วไปได้เห็น 25-27 กิโลเมตรต่อลิตรแน่นอน
และก็มาถึงสนามพีระเซอร์กิต พัทยา ชลบุรี ปิดสนามให้ได้ถลุงการขับขี่อย่างเมามันเค้นกำลังอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ยังขับรุ่น GR Sport เช่นเดิมด้วยความยาว 2.4 กิโลเมตรต่อรอบ พื้นที่สนามเป็นแบบภูเขาผสมกับความคอมแพ็คของสนามแบบสตรีทเซอร์กิตทำให้ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีมและคอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ในรุ่น GR Sport มีการปรับจูนช่วงล่างใหม่เน้นไปที่สปริงหน้าและหลังกับโช้คอัพแบบก๊าซไนโตรเจนแรงดันสูง
การเข้าโค้งความเร็วปานกลาง รถทรงตัวมั่นคง ตัวถังเอียงน้อยแม้การขับขี่สลาลอม สลับฟันปลาด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ปรับจูนให้สมดุลกับช่วงล่างที่พัฒนาใหม่ให้ความแม่นยำน้ำหนักดีควบคุมง่ายขึ้นด้วยวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร ทางด้านระบบเบรกเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ตอบสนองการเบรกได้แม่นยำ ช่วงเบรกหนักในทางตรงทำงานได้มั่นใจขึ้น
Safety & Feature ด้วย Toyota Safety Sense
- ใหม่!! ช่วยคุมรถให้อยู่ในเลน LKC (Lane Keeping Control)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) แบบ ALL-SPEED
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS (Pre-Collision System)
- เตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ LDA (LANE DEPARTURE ALERT)
- ป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี PMC (PEDAL MISOPERATION CONTROL)
- เตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว FDA (FRONT DEPARTURE ALERT)
- ปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB (AUTOMATIC HIGH BEAM)
- ช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (BLIND SPORT MONITOR)
- ช่วยเตือนขณะถอยจอด RCTA (REAR CROSS TRAFFIC ALERT)
พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐานทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ออกตัวบนทางลาดชัน HAC สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน Emergency Brake Signal ระบบเบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรก BA ดิสก์เบรก 4 ล้อ
กล้องมองภาพรอบคัน PVM (PANORAMIC VIEW MONITOR) สัญญาณเตือนกะระยะด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง เตือนคาดเข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่งการนั่ง ไฟส่องสว่างหลังจากดับเครื่องยนต์ (FOLLOW-ME-HOME) เซ็นทรัลล็อกพร้อม SPEED AUTO LOCK และกล้องวิดีโอบันทึกภาพด้านหน้า DVR (Digital Video Recorder)
Verdict
เป็นการกลับมาอีกครั้งของเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร หลังหมดยุค Toyota VIOS พ่วงเข้ากับระบบฟูลไฮบริดเข้ามาด้วยกันที่ให้ทั้งแรงและประหยัดกว่ารุ่น 1.2 ลิตรที่ประหยัดเกินหน้าเกินตา Eco Sticker ถึง 28.1 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรทำได้ 10.1 วินาที เร่งแรงแซงฉับไว ช่วงล่างหนึบ พวงมาลัยไฟฟ้าทำงานแม่นยำ
พ่วงหน้าตาโดนใจวัยรุ่นในสไตล์ Gazoo Racing ด้วยชุดแต่งแอโรพาร์ทรอบคันผสมโทนสีดำเสริมความเข้มแถมล้อ 17 นิ้วรมดำดุดันแบบไม่ปารณีใคร ออปชันข้าวของให้มาครบครันแม้บางอย่างจะดูไม่สบอารมณ์ทั้งพนักพิงศีรษะหลังให้มาแบบใบเล็กแถมปรับไม่ได้ ไม่มีที่ท้าวแขนและพับไม่ได้ กระจกแต่งหน้าให้แค่ฝั่งเดียวและไม่มีระบบลมไล่ฝ้ากระจกหน้ามาให้ซึ่งอาจเห็นในรุ่นปรับปรุงใหม่ในอนาคตก็เป็นได้
และความเชี่ยวชาญของระบบไฮบริดค่ายสามห่วงนี้ถ้าไม่ดีจริงคงไม่มีประชากรวิ่งกันทั่วประเทศไทยด้วยชุดแบตเตอรี่รุ่นนี้แบ่งเป็น 2 Stack เสียจุดไหนถอดเปลี่ยนได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนทั้งลูกเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเบี้ยประกันถูกลงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน
ด้วยเป้าหมายการขายที่ 20,000 คันในช่วงปีแรก เป็นความท้าทายที่เรียกว่าชิวเพราะยังไงคนไทยยังนิยมแบรนด์โตโยต้าอยู่แล้วและยิ่งเป็น Toyota YARIS ATIV HEV GR Sport 2025 คันนี้ยอดขายพึ่งกระฉูดแน่นอนเพียง 769,000 บาท (เดิม 779,000 บาท) ถึงสิ้นปี 2568