นับตั้งแต่ข่าวยกเลิกการทำตลาดดีเซลเทอร์โบคู่ ออกไปสำหรับ Ford Ranger ล่าสุดเปิดตัวรุ่น MY2026 ตอบโจทย์ลูกค้าโหดแดนจิงโจ้

Ford Ranger MY2026 หน้าเดิมเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 2 รุ่น ทั้งรุ่น WOLFTRAK และ Black Edition รวมถึงอัปเกรดรุ่นที่ขายปัจจุบันทั้งรุ่น XL, XLS, XLT เปลี่ยนพลังใหม่มาเป็นเครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 แทนรุ่นเครื่องยนต์เดิมเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร ที่ยกเลิกขายไปตั้งแต่ต้นปี 2025 อาจเป็นเพราะปัญหามลพิษ

ปรับเกือบทุกไลน์อัพ
เริ่มกันที่รุ่น XL XLS XLT ทั้งแบบตอนเดียว แค็ปตอนครึ่ง และ 4 ประตูทั้งแบบหัวกระสือและมีกระบะท้าย มาพร้อมการตกแต่งภายนอกใหม่แบบ สีดำเงาและสีดำด้าน แทนที่โครเมียมหรือสีเทาเดิมในส่วนของชุดกระจังหน้า ชุดช่องระบายอากาศในบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา กระจกมองข้าง ที่เปิดประตู
ล้อกับยางมาทั้งกระล้อขนาด 16 นิ้วในรุ่น XL กับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วทั้งคู่มาพร้อมยาง 255/70R16 และล้ออัลลอยขนาด 17นิ้ว พร้อมยาง 255/70 R17 ในรุ่น XLS กับ XLT
พร้อมออปชันแตกต่างกันในแต่ละรุ่น ทั้งไฟหน้า-ไฟท้ายแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ และไฟหน้า-ท้ายแบบ LED พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ที่เหยียบข้างกระบะท้ายกับกันชนหลังติดมาให้จากโรงงาน ในรุ่น XL มาพร้อมออปชันใหม่ทั้ง หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ขึ้น 12 นิ้ว ระบบปรับอากาศแบบดูอัลโซน ในรุ่น 4 ประตูมาพร้อมช่องแอร์ด้านหลัง และดิสก์เบรก 4 ล้อในรุ่น XL V6 ขณะที่รุ่น XL กับ XLS 4ประตู หัวกระสือ เครื่องดีเซล V6 มาพร้อมกับเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ (DAT) ทั้ง
- กล้องมองหลังแบบดิจิทัล
- เซนเซอร์กะระยะการจอดด้านหลัง
- ตรวจจับจุดบอดมุมอับสายตา Blind-spot monitoring
- ช่วยเบรกขณะถอยหลัง Reverse Brake Assist
- เตือนขณะถอยหลัง Rear cross-traffic alert
สำหรับรุ่น XLT 4 ประตูหัวกระสือมาพร้อมระบบ Trailer Coverage ความปลอดภัยขั้นสูงที่ช่วยตรวจสอบจุดบอดและพื้นที่รอบรถ รวมถึงส่วนต่อพ่วง

รุ่น XLT 4 ประตูหัวกระสือ มาพร้อมช่วงล่างแบบเพลาลอย Heavy Duty พร้อมติดตั้งช่องต่อ AUX 6 ตัวพร้อมสวิตช์เหนือคอนโซลที่ต่อวงจรเข้ากับกล่องจ่ายไฟ รองรับการปรับแต่งและใช้งานอุปกรณ์เสริมได้อย่างสะดวกโดย สวิตช์ที่เดินสายไว้แล้วตามจุดต่างๆที่อุปกรณ์เสริมส่วนใหญ่มักได้รับการติดตั้ง ทั้งใต้ฝากระโปรงหน้ารถ กระจังหน้า และบริเวณกระบะท้าย ทำให้การใช้งานรถสะดวกและเต็มที่มากขึ้น ไม่ว่าคุณจะใช้ทำงาน ตั้งแคมป์กับครอบครัว หรือออกผจญภัย

รุ่นใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Ford Ranger WOLFTRAK รุ่นพิเศษแทรกกลางระหว่างรุ่น XLT และ TERMOR มาพร้อมสีเขียวใหม่ Traction Green สปอร์ตบาร์สีดำยาวทอดตลอดกระบะท้าย ที่เกี่ยวขอด้านหน้า 2 ตัว กระจังหน้าลายรังผึ้ง พร้อมการตกแต่งโทนสีดำเขียวมะนาว Traction Green ทั้งในชื่อรุ่นใต้ชายล่างประตูคู่หน้า ล้ออัลลอย Asphalt Black ขนาด 17 นิ้ว และภายใน และได้ตัดรุ่น SPORT ออกไป

รุ่น Black Edition มาพร้อมชุดแต่งดำและ สปอร์ตบาร์สีดำยาวทอดตลอดกระบะท้าย จากเดิมออกขายจำนวนจำกัดกลายเป็นขายยาวๆไม่จำนวนจำกัดอีกต่อไปในรุ่นสี่ประตูทั้ง 2 รุ่นใหม่มาพร้อมพลังดีเซล V6 3.0 ลิตร และ 2.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยวขับเคลื่อน 4 ล้อ

รุ่น WILDTRAK มาพร้อมสีส้มใหม่ Ignite Orange ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์เท่โดดเด่น พร้อมยาง 255/65R18 และไฟหน้าใหม่ Matrix LED และใหม่!! ลำโพง B&O 10 ตัวเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และรุ่น Platinum มาพร้อมสีใหม่สีเขียวอ่อน Acacia Green กับล้อขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/55 R20 จาก Goodyear รุ่น Territory HT และค่าตัวถูกลง

ขุมพลังพัฒนาใหม่
โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว P02S 170 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ปรับในส่วนรายละเอียดเช่นการใช้ระบบโซ่ราวลิ้น แทนสายพานจุ่มน้ำมัน (Wet Belt) ให้ความทนกว่า ดูแลง่ายกว่า และอัพเกรดระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
พร้อมระบบส่งกำลังใหม่จากเดิมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 6R80 มาเป็นลูกใหม่ 10 สปีด คาดอาจใช้แบบ e-Shifter รุ่น 10R80 จับคู่กับระบบขับเคลื่อนสองล้อยกสูง พร้อม โหมดการขับขี่ Terrain Management System 4 โหมดทั้งโหมด ทั่วไป Normal, โหมดประหยัด Eco, ลากจูงและบรรทุก Tow/Haul, โหมดทางลื่น Slippery และขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time

และยังมีขุมพลังดีเซลเทอร์โบ V6 ในรหัส BFWS ขนาด 3.0 ลิตร Power Stroke ที่ให้กำลังมากถึง 250 แรงม้าที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ e-Shifter รุ่น 10R80
ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L และ 4A) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case–EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้า
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทั้ง 2.0 และ 3.0 V6 ดีเซลมา พร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System 7 โหมด ทั้งโหมดทั่วไป Normal, โหมดประหยัด Eco, ลากจูงและบรรทุก Tow/Haul, โหมดทางลื่น Slippery และยามลุยมีทั้งโหมดทราย Sand, โหมดโคลน Mud/Ruts และเพิ่มโหมดหิน Rock Crawl ในรุ่น Tremor พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential
ระบบควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด (Trail Control™) ทำหน้าที่เสมือนระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ออฟโรด ผู้ขับขี่สามารถเลือกความเร็ว (ไม่เกิน 32 กิโลเมตร/ชั่วโมง) รถจะควบคุมการเร่งความเร็วและการเบรก ผู้ขับขี่เพียงจดจ่อกับการบังคับควบคุมพวงมาลัยเพื่อฝ่าเส้นทางสุดท้าทายได้ง่ายขึ้น ในรุ่น Tremor
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงสำหรับด้านหน้าและระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบซ้อนสำหรับด้านหลัง พร้อมพวงมาลัยไฟฟ้าที่ช่วยผ่อนแรงในการขับขี่ ปรับน้ำหนักให้เบาที่ความเร็วต่ำ และเพิ่มน้ำหนักเมื่อความเร็วสูง และลุยน้ำได้ 800 มิลลิเมตร

ความปลอดภัย
- ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control
- เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam
- ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน จักรยาน และทางแยก Autonomous emergency braking (AEB) with Pedestrian, Cyclist, Car Detection Junction assist
- เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
- ตรวจจับรถในจุดบอด Blind Spot Information System
- ตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Cross-Traffic Alert
- ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
- ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist
- อ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition
ถุงลมนิรภัย 9 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย ถุงลมบริเวณหัวเข่าและตรงกลางเบาะนั่งคนขับ ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน กล้องมองภาพด้านหลังและรอบคัน ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System)
ช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation) ควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) สัญญาณกันขโมยและกุญแจนิรภัย Security Alarm System and Immobilizer

Ford Ranger MY2026 ขายทั้งหมด 22 รุ่นย่อย 3 รูปแบบตัวถัง ด้านท้าย 2 แบบทั้งมีกระบะท้ายและหัวกระสือมาพร้อมราคาไม่รวมค่า Drive-away ของออสเตรเลีย $37,130- $80,090 หรือราว 775,000-1,679,000 บาท
ที่มา CarExpert










