งานนี้สนุกแน่นอนเมื่อยักษ์ใหญ่ที่เชี่ยวชาญเรื่องรถไฟฟ้าอย่าง BYD จากจีนหาญกล้าบุกตลาดเจ้าถิ่นที่เจนจัดดานยานยนต์ที่ญี่ปุ่น
โดยตั้งชื่อบริษัท BYD Japan พร้อมเผยบริษัทในเครืออย่าง BYD Auto Japan จำหน่ายเฉพาะรถยนต์นั่งและรถยนต์อเนกประสงค์รวมถึงจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์
ประเดิมทำตลาดด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเปิดตัวสามรุ่นเริ่มจาก BYD ATTO 3 เอสยูวีดีไซน์กะทัดรัดคล่องตัวหล่อด้วยกระจังหน้าแบบปิดทีบขอบกระจังหน้าห่อหุ้มด้วยเส้นโครเมี่ยม ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 215/55R18 กับมิติตัวรถทรงท้ายตัด 5 ประตูยกสูงตั้งแต่ความยาว 4455 มม. ความกว้าง 1875 มม. ความสูง 1615 มม. ฐานล้อ 2720 มม. หรูหราด้วยระบบหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.8 นิ้ว หมุนจอได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน เชื่อมต่อ Apple Car Play Android Auto และ DAB digital radio พร้อมลำโพงมาตรฐาน 8 จุด ที่ชาร์จมือถือไร้สาย มาตรวัดดิจิทัล 5 นิ้ว และเบาะหลังพับได้แบบ 60:40 พร้อมพื้นที่สัมภาระมากถึง 1,330 ลิตร เบาะไฟฟ้าคู่หน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางสำหรับคนขับและ 4 ทิศทางสำหรับคนนั่ง
ขุมพลังไฟฟ้า ให้กำลังมากถึง 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent magnet synchronous motor โดยมีสองความจุแบตเตอรี่เริ่มที่รุ่นเริ่มต้น มาด้วยความจุแบตเตอรี่ 52.5 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 400 กม. ตามมาตรฐาน NEDC และรุ่นสูงสุดที่มีความจุมากถึง 63.8 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 480 กม. ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมระบบชาร์จเร็ว DC รองรับสูงสุด 100 kW สามารถชาร์จได้ 45 นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 7.3 วินาที
มากันที่ BYD Dolphin อีกหนึ่งรุ่นที่ทางเมืองไทยพร้อมที่จะทำตลาดเป็นรถกลุ่ม B-Car ทรงท้ายตัด 5 ประตู สร้างขึ้นจากแพลตฟอร์ม BYD e-platform 3.0 ด้วยหน้าตาที่ทันสมัยด้วยสีทูโทนกับมิติตัวรถตั้งแต่ความยาว 4,070-4,150 มม. ความกว้าง 1,770 มม. ความสูง 1,570 มม. ฐานล้อ 2,700 มม. น้ำหนักรถ 1,285-1,450 กก. พร้อมภายในที่กว้างสบายแบบ 5 ที่นั่ง พร้อมออปชันประจำรถครบครันทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน จอสัมผัสขนาดใหญ่
ขุมพลังไฟฟ้าล้วนประจำรถมีหลากหลายความแรง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ permanent magnet synchronous motor ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นที่มีพลังมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ขนาด 30.7 kWh แบบ BYD Blade Battery(LFP) วิ่งไกลสุด 301 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0-50 กม. ทำได้ 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. ขับเคลื่อนล้อหน้า
ส่วนอีกรุ่นเพิ่มความจุแบตเป็น 44.9 kWh พลังมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 405 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0-50 กม. ทำได้ 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. ขับเคลื่อนล้อหน้าและรุ่นท็อปสุดความจุแบตเท่ากัน (44.9 kWh) แต่ให้พลังมอเตอร์ไฟฟ้ามากสุด 177 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 401 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0-50 กม. ทำได้ 3 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถชาร์จได้ทั้งขาร์จช้า AC AC charging (on-board) รองรับสูงสุด7 kW ส่วนชาร์จเร็ว DC fast charging ใช้เวลา 30 นาที ในการชาร์จจาก 30-80% รองรับสูงสุด 60 kW แต่รุ่นเริ่มต้นนั้น รองรับสูงสุด 40 kW แต่ชาร์จเร็วได้ 30 นาทีในการชาร์จจาก 30-80%
และปิดท้าย BYD Seal เก๋งไฟฟ้าหล่อล้ำอนาคตมองไกลๆอาจคล้ายรถหรูจากเยอรมนี ตั้งแต่ไฟหน้า LED ชุดกันหน้าขึ้นรูปชิ้นเดียวมีกระจังหน้าปิดทึบอยู่ในชุดเดียวกันที่ลงตัว ล้อสีทูโทนดีไซน์เอกลักษณ์ พร้อมกระจกแบบโอเปร่า ดีไซน์หรูหราดุจรถยุโรป และหลังคาพัฒนามาจากรุ่นต้นแบบ Ocean-X concept บนพื้นฐาน e-platform 3.0
ภายใน คล้ายกับ BYD Atto 3 EV ตั้งแต่จอสัมผัสขนาดใหญ่ที่คาดว่าเป็นขนาด 12.8 นิ้ว หมุนจอได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน เชื่อมต่อ Apple Car Play Android Auto ที่ชาร์จมือถือไร้สาย มาตรวัดดิจิตอล พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านทรงท้ายตัด รวมถึงหัวเกียร์คริสตัลรอบๆคันเกียร์รายล้อมด้วยปุ่มควบคุมการทำงานของจอสัมผัส จอ Head-Up Display และเบาะนั่งทรงสปอร์ต หุ้มหนังอย่างประณีต
ขุมพลังไฟฟ้าเลือกได้สองรูปแบบทั้ง มอเตอร์เดี่ยว 201 แรงม้า และรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 308 แรงม้า จากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าหน้า 214 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าหลัง 308 แรงม้าทำงานร่วมกันให้กำลังรวมถึง 530 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 3.8 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ Blade 800V วิ่งไกลสุด 700 กม.
รถ BYD ทั้งสามรุ่นนี้พร้อมทำตลาดตั้งแต่มกราคมปีหน้า รวมขยายเครือข่ายการจำหน่ายในญี่ปุ่นให้ครบ 100 แห่งภายในปี 2025 สำหรับเมืองไทยพร้อมที่จะลุยตลาดถึงห้ารุ่น BYD Dolphin, BYD Han, BYD Tang EV, BYD Song Plus DM-I และ BYD Qin Plus DM-I โดยจับมือกับทางกลุ่มสยามกลการเพื่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ BYD ในเมืองไทยเพื่อเข้าโครงการเพื่อรับสิทธิ์ประโยชน์ด้านภาษีและเงินสนับสนุน 1.5 แสนบาทต่อคันจากภาครัฐ
