ประเทศไทยต้อนรับแบรนด์น้องใหม่จากเมืองจีนอย่าง GWM TANK ที่จะมาบุกตลาดอย่างเป็นทางการในฐานะรถเอสยูวีสไตล์ลุยและหรูในคันเดียวกัน
พร้อมกันนี้ GWM TANK ส่งสองเอสยูวีสองสไตล์บุกไทยทั้ง GWM TANK 300 และ GWM TANK 500 เริ่มที่ GWM TANK 300 น้องเล็กทรงเหลี่ยมสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมรูปทรงสง่างามให้อารมณ์ความเป็นเอสยูวีสายลุยแบบเอ็กซ์ตรีมเต็มขั้นเปี่ยมไปด้วยความสามารถในการผจญภัยในทุกเส้นทางอย่างแข็งแกร่งตามสไตล์ TANK รองรับการขับขี่ในหลากหลายสภาพถนนตั้งแต่กระจังหน้าขนาดใหญ่แนวนนอน 3 เส้น สีดำ Piano Black พร้อมโลโก้ TANK ไฟหน้า Intelligent LED ทรงกลมพร้อมไฟ LED Daytime คิ้วขอบล้อสีดำดุดันด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Continental Horse AT 265/65 R17 ในรุ่น ULTRA หลังคาซันรูฟแบบเปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมราวหลังคาเพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน และเสาอากาศ แบบ shark fin ที่เปิดประตู กระจกมองข้างตกแต่งสีเข้มทั้งหมดด้านท้ายดีไซน์ตั้งตรงพร้อมฝาท้ายขนาดใหญ่ห้อยยางอะไหล่ไว้ดูมีเอกลักษณ์ดีตามสไตล์ออฟโรดและไฟท้าย Vertical LED แนวตั้งในร่าง 5 ประตู
ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์มออฟโรดอัจฉริยะที่ทรงประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลัง วางใจได้ และชาญฉลาด ใหญ่โตทุกมิติตั้งแต่ความยาว 4,760 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,930 มิลลิเมตร ความสูง 1,903 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 224 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,313 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 75 ลิตร จากบนพื้นฐานแกร่งแชสซีส์ขั้นบันได
ภายในหรูสไตล์ Premium off-road ที่ให้ความรู้สึกหรู ทันสมัย กว้างขวาง สะดวกสบาย และใส่ใจในทุกรายละเอียด แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ร่วมสมัยช่องแอร์ดีไซน์เดียวกับ Mercedes-Benz G-Class มาตรวัด Full LCD 12.3 นิ้ว จอสัมผัส LCD ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เชื่อมต่อ พอร์ต USB ด้านหน้าและด้านหลังลำโพงคุณภาพรอบคัน 8 จุดจากค่าย Infinity เบาะนั่งหุ้มหนัง NAPPA leather ตัดเย็บประณีต คู่หน้าปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 8 ทิศทางและคนนั่งปรับ 4 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat เพื่อความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงจากรถเบาะหลังตอนที่สองพับได้ 60/40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกของมากถึง 1,635 ลิตร เมื่อพับเบาะ
เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 และ Ionizer ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การชาร์จ Smart Phone สะดวกและรวดเร็ว ช่อง USB สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า/หลัง และสำหรับกล้องบันทึกภาพ ช่องจ่ายไฟสำรอง 220V แบบพร้อมเต้ารับสายไฟไฟสร้างบรรยากาศภายในมากถึง 64 สี Ambient light นาฬิกาแบบคลาสสิก เพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสารได้อย่างลงตัวและ และระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด ทำงานร่วมกับกุญแจ Smart Key และ Push Start เพิ่มความสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหากุญแจ
ตอบโจทย์การผจญภัยอย่างลงตัวพร้อมมอบประสบการณ์การผจญภัยที่มีสีสันให้ผู้ขับขี่ด้วยเบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร รหัส E20NA ให้กำลังรวม 244 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 380 นิวตันเมตรที่ 1,700-4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 106 แรงม้า แรงบิด 268 นิวตันเมตรเมื่อทำงานร่วมกันกับชุดแบตเตอรี่จะได้แรงม้ารวม 304 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.9 วินาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด Electronic Shifter พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบเรียลไทม์อัจฉริยะ ระบบสามารถสลับโหมดได้ 3 โหมด ได้แก่ ขับเคลื่อนสองล้อ (2H สอดคล้องกับโหมดประหยัด) ขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ (AWD) และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อความเร็วต่ำ (4L) พร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 7 รูปแบบ อาทิ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทรายและโหมด 4L
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม ระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์และดิสก์เบรก แบบมีครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เพื่อความต้องการของทุกสถานการณ์ล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Electric Differential Lock for front and rear axles) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย และภูมิประเทศที่ซับซ้อน
พร้อมโหมด crawl mode มีมุม approach angle หรือมุมเงย 33 องศา และมุม departure angle หรือมุมจาก 34 องศา Off-road Cruise Control เหมาะสำหรับถนนออฟโรดที่มีสภาพซับซ้อน หลังจากเปิดฟังก์ชันแล้ว ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อให้รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำและความเร็วคงที่ และ Body Transparent ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ ระบบจะจดจำข้อมูลภาพจากกล้องระหว่างการขับขี่ ยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่
ความปลอดภัยรอบคันด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้ง ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) ช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) ช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB) ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) ช่วยลงทางลาดชัน (HDC) ช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) ช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) ตรวจความดันลมยาง (TPMS)
ทางด้าน GWM TANK 500 เอสยูวีรุ่นใหญ่พร้อมรูปทรงทรงพลังบึกบึน แกร่ง เรียบง่ายและหรูหราเป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในทุกมิติตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถเริ่มที่ด้านหน้าเด่นด้วยกระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ผสานช่องระบายอากาศแนวนอนและโลโก้ TANK ที่ลงตัวรับเส้นสายที่นูนขึ้นของฝากระโปรงไฟหน้า Intelligent LED ดีไซน์โดดเด่นด้วยระบบอัจฉริยะ อาทิ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติและฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow me home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอกหน้า LED บันไดข้างระบบไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชัน เปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด-ปิดประตู หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ เปิด – ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ราวหลังคา เสาอากาศแบบ shark fin ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/50 R20
ดีไซน์ด้านหลังมาพร้อมประตูท้ายเปิดบานเดียวใหญ่แบบ horizontal พร้อมระบบดูดไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง ยางอะไหล่ติดตั้งบนประตูท้าย พร้อมกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบยางอะไหล่ได้อย่างลงตัว ไฟท้าย Vertical LED ดีไซน์แนวตั้ง มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟตัดหมอกหลังแบบ LED ให้ความสว่างชัดเจนเพื่อความปลอดภัยและสปอยเลอร์ท้าย ซึ่งช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค มิติตัวรถขนาดกว้างขวาง ถูกออกแบบมาอย่างลงตัวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถ ใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน มิติตัวรถตั้งแต่ความยาว 5,078 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,934 มิลลิเมตร ความสูง 1,905 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร
ภายในหรูหรากว้างสะดวกสบายใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยการเชื่อมต่อของหน้าจอทั้ง 3 ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและปลอดภัย หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัส ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่พร้อมมาตรวัดดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า ลำโพง Infinity จำนวน 12 ลำโพง ระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ และระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับไฟฟ้าปรับแบบ 4 ทิศทาง ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ที่พวงมาลัย ไฟตกแต่งห้องโดยสาร Ambient Light พร้อมฟังก์ชันแบบหลายสี และเป็นจังหวะ ช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้คุณเพลิดเพลิน นาฬิกาแบบคลาสสิก เพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสารได้อย่างลงตัว เปิด-ปิดล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้และออกห่างจากรถ ระบบกุญแจ Smart Key และระบบ Push Start เพิ่มความสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหากุญแจ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5และชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การชาร์จ Smart Phone สะดวกและรวดเร็ว
เบาะนั่งทั้ง 7 ที่นั่งหุ้มหนัง NAPPA ปรับไฟฟ้าคู่หน้าพร้อมระบบเบาะนวดและดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และ Welcome Seat เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 พร้อมหน้าจอควบคุมระบบระบายอากาศและเบาะระบายอากาศอีกระดับของความสบายด้วยที่พักแขนตอนกลาง ม่านบังแดด และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยตำแหน่งปรับพนักพิงบริเวณข้างประตูผู้โดยสารแถวที่ 2 และประตูท้าย พื้นที่ห้องโดยสารมีที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 สามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับเรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่และความสะดวกในการจัดเก็บสัมภาระ พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุสี Black, Silver, Piano Black, Chrome
ขุมพลังเบนซินเทอร์โบแปรผัน (VGT) Hybrid ขนาด 2.0 ลิตร รหัส E20NA หรือ รหัส GW4N20 HEV ในภาคเครื่องยนต์ได้ 244 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตันเมตร แและแบตเตอรี่ความจุ 1.76 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมมากถึง 350 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 648 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ DHT 9 สปีด รองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายพร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 11 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดอัตโนมัติ และโหมดออฟโรด ได้แก่ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทราย โหมดพื้นหิน โหมด4L โหมด4H โหมดพื้นหิมะ และโหมดเชี่ยวชาญ
มาพร้อมระบบสะเทือนหน้าแบบอิสระดับเบิ้ลครอสอาร์มและระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง และยังสามารถลุยน้ำที่ระดับความลึก 800 มิลลิเมตร เพรียบพร้อมไปด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบออฟโรดอันชาญฉลาดและล้ำสมัย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกการขับขี่ไม่ว่าจะเป็น
– ล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Front & Rear Electric Differential Locks) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย และภูมิประเทศที่ซับซ้อนอื่น ๆ ด้วยกลไกการถ่ายโอนกำลัง ทำงานร่วมกันกับกลไกล็อกของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม
– ช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน เมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้
– ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road (Offroad Cruise Control) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกโดยอัตโนมัติให้รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำและความเร็วสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ขับขี่ไม่เสียสมาธิและเพิ่มความปลอดภัยจากการควบคุมรถบนสภาพถนนที่ซับซ้อน
– ตรวจจับความลึกของน้ำ (Wading Depth Detection) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะประเมินความลึกของระดับน้ำและแสดงผลของระดับน้ำประกอบภาพรถบนหน้าจอกลาง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่เมื่อขับผ่านสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง
– แสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะจดจำข้อมูลของพื้นที่รอบเส้นทางการขับขี่ของกล้องรอบตัวรถและสร้างภาพเสมือนแบบ 360 องศา จากมุมมองด้านบนของตัวรถ ในลักษณะแบบโปร่งใสเห็นพื้นผิวถนนด้านล่าง และแสดงภาพด้านหน้าของรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพถนนใต้ท้องรถ เพิ่มความปลอดภัยและประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น
มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยมากมาย ให้ทุกการเดินทางปลอดภัยไร้กังวล ได้แก่ ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) ช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) ช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (MEB)
ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA/ RCTB) ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA) ช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) ช่วยลงทางลาดชัน (HDC) ช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) ช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) ตรวจความดันลมยาง (TPMS)
ทั้งสองรุ่นจัดเต็มไปด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) ยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ขับขี่อย่างครบวงจรในทุกมิติ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยียนตกรรมไม่ว่าจะเป็น การอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) และ การควบคุมและเชื่อมต่อฟังก์ชันของรถยนต์ผ่าน GWM Application แม้ในขณะผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อกและปลดล็อกประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่าง การปิดซันรูฟ การควบคุมระบบระบายความร้อนของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ การกำหนดรัศมีการใช้งานรถ และระบบตรวจสอบสถานะอื่น ๆ
GWM TANK 300 และ GWM TANK 500 พร้อมที่จะเปิดโลกแห่งความท้าทายยิ่งขึ้นกว่าที่เคยในทุกๆวันโดยขึ้นสายการผลิตที่เมืองไทยที่โรงงาน Great Wall Motor Manufacturing (Thailand) อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ส่งมอบตั้งแต่ตุลาคมเป็นต้นไป
สำหรับ GWM TANK 300 มีสีภายนอกมีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีส้ม ใหม่, ดำ เทา และขาวกับ สีรถภายใน สีดำ (ลักษณะของเบาะจะแตกต่างกันในรุ่น รุ่น ULTRA และรุ่น PRO) พร้อมราคาจำหน่ายดังนี้
- รุ่น ULTRA ราคา 1,799,000 บาท
- รุ่น PRO ราคา 1,649,000 บาท
GWM TANK 500 มีสีรถภายนอกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ขาว ดำ เทา และสีใหม่ เทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) ส่วนสีภายในมีทั้งสีดำ และทูโทนสีน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA) พร้อมราคาจำหน่ายดังนี้
- รุ่น ULTRA ราคา 2,269,000 บาท
- รุ่น PRO ราคา 2,049,000 บาท
มาพร้อมการรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง นอกจากนี้ รถยนต์ทั้งสองรุ่น ยังมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบํารุงรักษาตามระยะทาง GWM Pro Service Inclusive – GPSI สูงสุด 10 ครั้ง ภายใน 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน (ไม่รวมอะไหล่สิ้นเปลือง) ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance ) ตลอด 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 5 ปี ฟรี บริการระบบตรวจสอบและสั่งการรถผ่านอินเทอร์เน็ต* (Telematic Service) พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี รวมถึงสิทธิพิเศษกับการเป็นส่วนหนึ่งของ GWM TANK CLUB และกิจกรรมสุดพิเศษมากมาย
สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อ Value Pack ของ GWM TANK 500 ไว้ในช่วง Pre-sale จะได้รับส่วนลดเงินสดมูลค่า 50,000 บาท และแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกค้าจะต้องวางเงินจองภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2566 เวลา 17.59 น. หรือภายใน 1 เดือนหลังจากการประกาศราคา มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ Value Pack ดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าที่จองสิทธิ Pre-sale จะได้สิทธิพิเศษรับรถก่อนลูกค้าที่จะเริ่มจองเข้ามาตามปกติ โดยลูกค้าที่จองสิทธิ์ Pre-sale จะต้องชำระเงินมัดจำภายใน 24 ชั่วโมงนับจากการเริ่มเปิดจอง หรือถึงเวลา 17.59 น. ของวันที่ 29 กันยายน 2566 เท่านั้น หลังจากนั้นลำดับการส่งมอบรถจะเป็นไปตามปกติ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินจองสำเร็จของลูกค้า
ลูกค้าที่สนใจสามารถจับจองเป็นเจ้าของ GWM TANK 500 และ GWM TANK 300 ได้ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน GWM application และเว็บไซต์ www.gwm.co.th