หลังจากเปิดตัวรุ่น First Edition สำหรับ MAXUS 9 PHEV หรือ MG MAXUS 9 เอ็มพีวีหรูเวอร์ชันปลั๊กอินไฮบริดได้ไม่นาน
ล่าสุดเสริมรุ่นย่อยมาอีก 5 รุ่นในราคาที่จับต้องได้หรูหราด้วยการดีไซน์ออกแนวเท่กับขอบฝากระโปรง กระจังหน้าปิดทึบ พร้อมชุดไฟ LED เริ่มที่ไฟหน้า full LED adaptive headlights ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime พร้อมไฟเลี้ยวในตัว กันชนหน้าขึ้นรูปรับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ ไฟหน้า LED ทรงแนวตั้งและช่องระบายอากาศแบบแนวตั้งต่างจากรุ่นอีวีอย่างสิ้นเชิงพร้อมชุดตกแต่งโครเมียมที่ขอบกระจังหน้า ขอบกระจก คิ้วชายล่างประตู คิ้วกันชนหลัง และกระจังหน้ายักษ์ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูไส้ในสีเข้มขนาดใหญ่ประทับโลโก้ MAXUS บนขอบฝากระโปรงขนาดใหญ่
ไฟท้ายดีไซน์แนวยาว LED หลังคา Dual Panoramic Sunroof ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า และ ล้ออัลลอยลายสุดล้ำขนาด 19 นิ้ว สไตล์ aerodynamic พร้อมยางแบบ Run Flat 235/55R19 มิติตัวรถมีความยาว 5,270 มิลลิเมตร ความกว้าง 2,000 มิลลิเมตร ความสูง 1,848 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,420-2,505 กิโลกรัม
ภายในล้ำอนาคตกับแผงคอนโซลแบบ Double Layer มีหน้าจอลอยตัว 3 จอ เริ่มที่มาตรวัดดิจิทัล 10.25 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ลากเป็นแนวยาว 2 จอขนาด 12.3 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto พร้อมลำโพง 12 จุดจาก JBL ช่องเชื่อมต่อ USB 9 จุด และช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน มาตรวัดดิจิตอล 7 นิ้ว มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light อย่างอบอุ่นถึง 64 สี กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติเป็นกล้องมองด้านหลังผ่านจอที่กระจกได้ แบบ Streaming Media Rearview Mirror ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกบริเวณด้านหน้าและหลังอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะ พร้อมระบบ Push Start และที่ชาร์จมือถือไร้สาย
เบาะนั่งหรู 7 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวดเบาะอุ่นและระบายความร้อนควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์ โต๊ะพับและที่วางแก้ว ตกแต่งด้วยวัสดุหนัง โดยเบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางและฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ทุกที่นั่งมีระบบอุ่นเบาะ ระบายอากาศ และนวดเพื่อผ่อนคลาย หุ้มหนัง NAPPA พร้อมพื้นที่ด้านหลังใหญ่ขึ้น 1,010-2,179 ลิตร
ทางเลือกใหม่ด้วยขุมพลัง Plug In Hybrid ด้วยเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร รหัส 15FKE ให้กำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 235 นิวตันเมตร ในภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าให้กำลัง 239 แรงม้า แรงบิด 390 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงสุด 388 แรงม้า แรงบิด 625 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง น้ำมัน 1 ถัง และชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไกล 1,309 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC
โดยชุดแบตเตอรี่เลือกได้ 2 รูปแบบทั้งขนาด 24.7 kWh แบบ lithium iron phosphate วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้าลว้น 115 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 90 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC ประหยัด 69.44 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 39.7 kWh แบบ ternary lithium วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 225 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 175 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super-hybrid dedicated P1+P3 series-parallel dual-motor พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดทั้ง โหมด Normal, Eco และ Sport มีทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC กำลังการชาร์สูงสุด 11 kW และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% มีระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย มาพร้อมระบบโครงสร้างนิรภัยปรับแต่งระบบช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION บนพื้นฐานช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์
ติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 25 ระบบ ได้แก่ ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame), เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold), ป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution)
เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control), สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System), ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control),ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist), ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา (LCA/ BSD/ RCTA/ DOW), จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง MAXUS 9 PHEV หรือ MG MAXUS 9 PHEV ขายทั้งหมด 6 รุ่นย่อยรวมรุ่น First Edition ในราคา 269,900-349,900 Yuan หรือราว 1,375,000-1,779,000 บาท
ที่มา Autohome