หลังจากที่ Car2Day ได้รีวิวขับสั้นๆกว่า 200 กิโลเมตรบนเส้นทางเชียงใหม่-เชียงรายกับ ISUZU MU-X RS 4WD ครั้งนี้กลับมารีวิวรุ่นนี้อีกครั้ง
พร้อมกับนำ ISUZU MU-X ULTIMATE 2WD มาประชันความพีคว่า 2 รุ่นไหนน่าคบทั้งหน้าตาใหม่ปรับครั้งแรกในรอบ 4 ปี แม้ทั้ง 2 รุ่นจะใช้ขุมพลังเดียวกัน
Design & Exterior
เริ่มที่ ISUZU MU-X RS 4WD ปรับใหม่มาดสปอร์ตด้วยกระจังหน้าเขี้ยวสองชั้น BLACK DIAMOND GRILLE พร้อมสะท้อนความพีคด้วยสัญลักษณ์ RS ด้วยวัสดุ Black Chrome เร้าใจด้วยชุดคิ้วกรอบไฟตัดหมอกหน้าสีดำเงาพร้อมกล้องมองภาพด้านหน้าฝังในชุดกระจัง
เส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย หลังคาดำ Black Roof เติมอารมณ์สปอร์ตด้วยเสาอากาศครีบฉลามสีดำ ราวหลังคาบิ๊วอินสีดำดีไซน์กลมกลืนกับหลังคาดำ กรอบกระจกสีดำ Gloss Black ช่องระบายอากาศด้านข้าง Side Garnish สัญลักษณ์ RS คิ้วชายล่างตกแต่งสปอร์ตพร้อมบันไดข้างสีดำเติมอารมณ์สปอร์ตด้วยกระจกมองข้างไฟเลี้ยว LED ปรับ-พับด้วยไฟฟ้าแบบสีดำเงาและมีกล้องมองภาพใต้กระจกยื่นออกมา
สปอร์ตด้วยชุดกันชนหลังทรงเดิมออกแบบลิ้นสปอยเลอร์หลังใหม่และคิ้วชายล่างซ้ายขวามุมกันชนหลังพร้อมสัญลักษณ์ RS โดดเด่นเท่สะดุดตาด้วยสี LIME GREEN และล้ออัลลอยใหม่! RS Design ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20 จาก Bridgestone Dueler 684II HT เพิ่มความสปอร์ตด้วย Fender Garnish คิ้วขอบล้อสีดำ
ส่วน ISUZU MU-X ULTIMATE 2WD มาในแนวหรูด้วยกระจังหน้าเขี้ยวสองชั้น ดีไซน์ใหม่ Dynamic Grille หรูหราด้วยวัสดุสีดำ Titanium Carbide ขอบสีเงิน เติมอารมณ์ลักชัวรีด้วยเสาอากาศครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ ราวหลังคาบิ๊วอินสีเทา Vey Dark Magnetite ดีไซน์กลมกลืนกับหลังคา
กรอบกระจกโครเมียมยาวเป็นรูปตัวแอลตั้งแต่ประตูหน้าเสา A ยาวจนถึงเสา D กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยว LED ปรับ-พับด้วยไฟฟ้า บันไดข้างสีเทาเข้ม ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ Dynamic Turbine ขนาด 20 นิ้ว สีทูโทน Magnetite II พร้อมดีเทลก้านแมก 6 ก้านแบบ 3D พร้อมยางขนาดเดียวกับรุ่น RS 4WD
ทั้ง 2 รุ่นเหมือนกันด้วยฝากระโปรงหน้าออกแบบใหม่เส้นสายหนาลงตัวสัญลักษณ์ ISUZU ขนาดใหญ่ติดบนตำแหน่งขอบกระจังหน้าส่วนบน ไฟหน้า Bi-LED แบบ Dynamic Blade มีไฟ Daytime แบบ LED ในตัวโคมไฟหน้าเร้าใจด้วยชุดกันชนหน้าใหม่แบบ Fighter Jet ดุดันพร้อม Air Curtain เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์พร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED ในชุดกันชน ที่เปิดประตูแบบดึงก้านสีเดียวกับตัวรถ
ไฟท้าย LED ใหม่!แบบ Dynamic Blade ผสานดีไซน์สปอร์ตของชุดไฟท้ายด้วยเส้นแนวนอนสีดำเข้ม Embrace Line ตรา ISUZU ขนาดเล็กลงถัดลงมาเป็นกรอบป้ายทะเบียนสีเดียวกับตัวรถงานนี้ซ่อนทั้งกล้องมองหลัง
ตัวฝาท้ายทำมาจากวัสดุ เรซิ่น คอมโพสิท เมื่อเคาะตัวฝาเสียงคล้ายกับตอนเคาะพลาสติก ซึ่งผลดีของวัสดุนี้ช่วยให้ตัวฝาท้ายมีน้ำหนักเบาขึ้นและง่ายต่อการซ่อมแซมสบายยิ่งกว่าด้วยฝาท้าย Smart Tailgate เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าทำงานร่วมกับระบบ Step Sensor และหยุดเมื่อมีสิ่งกีดขวางด้วยระบบ Jam Protection
ช่วยลดช่วยลดอุณหภูมิในห้องโดยสารด้วยกระจกหน้ารถแบบ IR Cut กรองรังสีอินฟราเรดป้องกันรังสี UVA และ UVB ที่ปัดน้ำฝนแบบ Integrated Wiper Blade ปัดขึ้น-ลงเงียบยิ่งขึ้นและองศาการปัดกว้างกว่าเดิม
พร้อมระบบฉีดน้ำบนก้านปัดแบบ Blade Type ติดตั้งในตัวก้านปัดน้ำฝนและมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ Rain Sensing Wiper โดยทำงานตามปริมาณน้ำฝนเกาะกระจกหน้ารถพร้อมที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง พร้อมสัญญาณกะระยะการจอดรถด้านหน้า 4 จุดและด้านหลัง 4 จุด ขนาดตัวรถใหญ่ขึ้นตามดีไซน์รถที่เปลี่ยนไปแต่ยังคงเป็นพื้นฐาน Body on Frame ตั้งแต่
- ความยาว 4,860 มิลลิเมตร (เพิ่มความยาวจากรุ่นเดิม 10 มิลลิเมตร)
- ความกว้าง 1,870 มิลลิเมตรรุ่น Ultimate และ 1,885 มิลลิเมตรในรุ่น RS
- ความสูง 1,875 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,855 มิลลิเมตร
- ความสูงจากใต้ท้องรถ 235 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถในรุ่น Ultimate 2,085 กิโลกรัม (เพิ่มน้ำหนักรถจากเดิม 5 กิโลกรัม) และรุ่น RS 2,175 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
Interior & Convenience
ภายในตกแต่งตามบุคลิกแต่ละรุ่นเริ่มที่รุ่น RS ยกระดับบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้พีคกว่าเดิมด้วยโทนสีดำเข้มตั้งแต่หลังคารถหุ้มขึ้นรูปแบบกำหมะหยี่ แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วย Matte Silver Garnish แผงประตู จนมาเบาะนั่ง 7 ที่นั่งโดยเฉพาะเบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์สปอร์ตนั่งสบายโอบรับสรีระโดดเด่นด้วยการเดินด้ายสี LIME GREEN และสัญลักษณ์ RS บนหัวเบาะ เร้าใจด้วยบรรยากาศภายในด้วยไฟสร้างบรรยากาศสีแดง Red Ambient Light พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนังตกแต่งสีเงินและกรอบรูปตัวทีครอบแผงช่องแอร์ตกแต่งสีเงิน
รุ่น ULTIMATE มาด้วยโทนโทนสีน้ำตาลอ่อน/สีดำ Truffle Brown-Black ให้ความรู้สึกอบอุ่น เบาะนั่ง 7 ที่นั่งดีไซน์ใหม่! สีน้ำตาลอ่อน Truffle Brown สบายเหนือกว่าโอบรับสรีระ คอนโซลดีไซน์ใหม่สีน้ำตาล/สีดำ Truffle Brown-Black พรืเมียมด้วยวัสดุ Piano Black–Satin Silver
บรรยากาศภายในหรูหราไฟสร้างบรรยากาศสีขาว White Ambient Light พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนังตกแต่งสีดำ Piano Black และกรอบรูปตัวทีครอบแผงช่องแอร์ตกแต่งสีดำเงา Piano Black หลังคาขึ้นรูปสีเทากำมะหยี่
ภาพรวมภายในทั้ง 2 รุ่นมองกันดีๆมีการเปลี่ยนแปลงเยอะตั้งแต่แผงคอนโซลหน้าใหม่สีดำหุ้มหนังสัมผัสทั้งชิ้นมีปุ่มไฟฉุกเฉินตรงกลางเสียดายที่ว่าไม่มีช่องเก็บของด้านข้างคนนั่งกลายเป็นหนังสัมผัสขึ้นรูปตายตัวแทนเดินด้ายอย่างประณีต
มาตรวัดเรืองแสง Integrated MID 7 นิ้ว แสดงผลได้หลายฟังก์ชันและเป็นการกลับมาของระบบแสดงนำทางแบบลูกศรและรายชื่อเพลงในชุดมาตรวัดเชื่อมต่อข้อมูลร่วมกับจอ 9 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มหนังแป้นกดแตรดีไซน์ใหม่ปรับได้ 4 ทิศทาง Tilt & Telescopic สูง-ต่ำใกล้ไกล ตามสรีระผู้ขับขี่ ซ้ายมือเป็นปุ่มควบคุมวิทยพร้อมปุ่มรับโทรศัพท์ ขวาเป็นปุ่มมล็อกความเร็วอัตโนมัติหรือ Adaptive Cruise Control
ปุ่ม Push Start ทำงานร่วมกับกุญแจแบบ Keyless Entry พร้อมปุ่มสีดำเล็กๆที่ก้านประตูภายนอกไม่สามารถปลดล็อกด้วยการดึงก้านเปิดประตูได้ใต้แผงช่องแอร์ 2 ฝั่งมีที่วางแก้วน้ำ ใต้คอนโซลหน้าฝั่งคนขับด้านคนขับมีปุ่มมากมายทั้งปุ่มเปิด-ปิดการทำงานฝาท้าย ปุ่มเปิดปิดระบบ Step Sensor ปุ่มเปิดปิดการทำงานของแอร์ด้านหลัง ปุ่มการทำงานตัวกรองอนุภาคดีเซลสำหรับรุ่น EURO5 และมีช่องใส่นามบัตร
ใน่ส่วนดีไซน์ตรงกลางของชุดคอนโซลหน้าออกแบบช่องแอร์สองฝั่งใหม่ตรงกลางมีจอสัมผัส Infotainment Display ขนาด 9 นิ้วรองรับการใช้งานทั้งระบบเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay แสดงผลหลายฟังก์ชันทั้งแสดงองศามุมปีนไต่ ลาดเอียง ทิศทางการเลี้ยวของล้อ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ที่หน้าจอ Integrated MID และ Infotainment Display ลุยได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นใต้จอตกแต่งด้วยขอบสีเงินเสียดายว่าไม่มีระบบนำทางใน เพราะคนส่วนมากหันมาใช้ Google Map เชื่อมจากสมาร์ตโฟนแทน
มาพร้อม 8 ลำโพง Dynamic Surround Sound แผงควบคุมระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ควบคุมอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา พร้อมลมไล่ฝ้ากระจกหน้าและลวดไล่ฝ้ากระจกหลัง สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ถึงระดับ PM 2.5 ช่องเสียบ Charging Socket สำหรับชาร์จมือถือ หรือเชื่อมต่อ หันมาคบแบบ USB-C ชาร์จได้รวดเร็วโดยช่องเสียบมีให้ 3 ตำแหน่งทั้งด้านหน้า 1 จุด และด้านหลัง 2 จุด ยิ่งกว่าเสียดายกลับไม่มีปลั๊กเสียบ AC Power Socket 220V ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆในการใช้งานทั้งชาร์จสมาร์ตโฟนและโน้ตบุ๊คยามแบตหมด
คอนโซลเกียร์หุ้มหนังสัมผัสทั้งสองข้าง คันเกียร์อัตโนมัติทรงเดิมสีเงินหุ้มหนังดำแสดงตำแหน่งพร้อมไฟเรืองแสงพร้อมถุงเกียร์สีดำ รายล้อมด้วยปุ่มการทำงานต่างๆทั้งปุ่มซ้ายมือมีทั้งปุ่มเปิดปิดการทำงานของเซนเซอร์กะระยะการจอด ปุ่ม ISS (Idling Stop/Start System) ตัดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราวและกลับมาทำงานโดยอัตโนมัติที่ยังคงเหยียบเบรกและตำแหน่งเกียร์ต้องอยู่ในเกียร์ D ระบบจะทำงานนานสุดหนึ่งนาทีระบบแอร์กับเครื่องเสียงยังทำงานและถ้ารำคาญใจที่ต้องกังวลว่าเดี๋ยวดับเดี๋ยวทำงานสามารถปิดระบบได้
ปุ่มขวามือมีทั้งปิดระบบ TCS กับควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC ช่อง Shift Lock สำหรับปลดเกียร์ว่างจอดขวาง มีสวิตช์ปุ่ม 4×4 กับ Rough Terrain Mode ในรุ่น RS 4WD เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold
ตรงกลางด้านแผงช่องแอร์และใต้แผงคอนโซลหน้าด้านคนนั่งจุของได้เยอะและยังเป็นที่อยู่ของตัวกุญแจไขยกเลิกการทำงานถุงลมนิรภัยด้านผู้โดยสารด้านหน้าสำหรับการติดตั้งที่นั่งคาร์ซีทในเบาะโดยสาร ไฟเตือนอยู่ที่ด้านข้างคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติพร้อมไฟส่องแผนที่มีช่องเก็บแว่นตาและไฟ Dome Light
เบาะนั่งปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางสำหรับคนขับและปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางสำหรับคนนั่งและยังช่วยลดการสะสมความร้อนด้วยเทคโนโลยี Cool Max เบาะนั่งตอนที่ 2 ปรับเอนได้ถึง 22 องศา พับได้ 60/40 แบบพับม้วนเดียวจบรองรับที่นั่งเด็ก ISOFIX และเบาะนั่งตอน 3 สบายพับได้แบบ 50/50 พื้นที่หลังเบาะตอน 3 ก่อนพับจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 311 ลิตร และเมื่อพับเบาะตอน 3 ลงมีพื้นที่ความจุมากถึง 1,119 ลิตร และเมื่อพับตอน 2 กับตอน 3 ด้วยกันจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 2,138 ลิตร
เอาใจคนรักความสะดวกสบายด้วยกุญแจรีโมท ISUZU Genius Entry สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย Remote Engine Start และใช้เปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้า ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติ เมื่อเข้าใกล้รถในระยะ 2 เมตร Welcome Light
ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่างจากตัวรถเกินระยะ 3 เมตร Walk Away Auto Lock เปิดไฟส่องสว่างได้นาน 30 วินาที หลังดับเครื่องยนต์ Follow Me Home และขึ้นลงทั้งตอนหน้าตอน 2 ด้วยมือจับขนาดใหญ่ 4 จุดอำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลง และมือจับบนหลังคาอีก 4 จุด
Engine & Transmission
พีคเช่นเดิมด้วยเครืองยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผันไฟฟ้า E-VGS Ddi Blue Power ขนาด 3.0 ลิตร รุ่น 4JJ3-TCX E5 มีกำลังอัดเท่าเดิมสมัย EURO4 เพียง 16.3:1 ส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบและช่วงชักเท่าเดิมคือ 95.4 มิลลิเมตร X 104.9 มิลลิเมตรกำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที ครั้งนี้มีพัฒนาใหม่ผ่านมาตรฐาน EURO 5 ที่มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
เทคโนโลยีตัวกรองเขม่าไอเสียในเครื่องยนต์ดีเซล DPD (Diesel Particulate Diffuser) ลดเขม่าและฝุ่นขนาดเล็กจากการเผาไหม้จากเดิมจะมี แคทาลิติก คอนเวอเตอร์ สามารถรักษาสมรรถนะรถ ประสิทธิภาพการใช้งานอันยอดเยี่ยม และยังสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นโดยไม่เติมน้ำยาบำบัดไอเสียในเครื่องยนต์ดีเซลเช่น AdBlue
ระบบวาล์วน้ำใหม่แบบขี้ผึ้งแทนแบบเดิมที่ใช้ไฟฟ้าพร้อมฮีตเตอร์ไฟฟ้า ลูกสูบออกแบบหัวลูกสูบใหม่ ระบบ EGR มีท่อบายพาสจากเดิมไม่มีท่อ พัฒนากล่องสมองกล ECM ใหม่ประมวลการทำงานอย่างรวดเร็วขึ้น เพิ่มเซนเซอร์ในระบบเครื่องยนต์ในส่วนของอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง อุณหภูมิ CAC ระบบ EGR ทั้งอุณหภูมิและความดัน EGR ระบบ DPD ในส่วนอุณหภูมิไอเสีย 1,2 O2 และแรงดัน DPD
โดยส่วนอื่นๆของเครื่องยนต์ยกมาจากเวอร์ชัน EURO4 ทั้งรูหัวฉีดขนาดเล็ก 0.126 มิลลิเมตรรหัส ID หัวฉีด A9 ระบบ Common Rail ที่มีหัวฉีดแบบ High Pressure แรงดันสูงถึง 250 MPa ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูงควบคุมแรงดันด้วย PCV ท่อเรลควบคุมด้วย Pressure Control Value
เทอร์โบแปรผันปรับไฟฟ้าตั้งอัตราการบูสท์ไว้เท่าเดิมคือ 1.7 บาร์ หรือประมาณ 24 ปอนด์ สลักลูกสูบเคลือบสารพิเศษ Diamond Like Carbon และTiming Gear แบบ Double Scissors Gear หรือเฟืองกรรไกรแบบคู่ช่วยลดระยะห่างของฟันเฟือง เครื่องยนต์เดินเรียบและทนทาน
ส่งผลให้การปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 188 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่น Ultimate และ 194 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่น RS 4WD พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Rev Tronic พ่วงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time Shift-On-The-Fly ควบคุมด้วยไฟฟ้า Terrain Command และก็เสียดายอีกเพราะไม่มีเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบ Electronic Diff-lock
Handling & Ride
ขุมพลัง 3.0 ลิตร 190 แรงม้า พัฒนาใหม่ปรับเซ็ตกำลังเครื่องให้มีความกระฉับกระเฉงขึ้นเร่งแซงฉับไวขึ้นกว่าตอน EURO4 เรียกว่ามาทันใจกว่าเหมาะสำหรับสายโมเพิ่มกำลัง ด้วยพื้นฐานความเป็นตระกูล 4J ที่คนไทยเชื่อมั่นในความทนทานถึกทนมายาวนานเกือบ 40 ปี สร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้ความฉับไวเล็กน้อยด้วยตัวเลข 10.25 วินาทีในรุ่น RS 4WD เทียบกับรุ่นเดิม Ultimate ขับเคลื่อน 4 ล้อ EURO4 ที่ทำได้ 10.42 วินาที และ 10.07 วินาทีในรุ่น Ultimate 2WD
รอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 100-120 กิโลเมตร ผลงานออกมาดังนี้ที่ 1,450 รอบต่อนาที 1,500 รอบต่อนาทีและ 1,750 รอบต่อนาที ตามลำดับ เสียงเครื่องยนต์เงียบในช่วงรอบเดินเบา 675-725 รอบต่อนาที ความเร็วต่ำจนถึงความเร็วสูง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ช่วงรอบกลางถึงรอบสูงยังให้ความเงียบพูดคุยฟังเพลงสบายอุรา ติดตั้งฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาทั่วทั้งคัน
ทัศนวิสัยการมองในตำแหน่งคนขับดีขึ้นเพราะฝากระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่เล่นระดับเล็กน้อยจนมาถึงขอบและฐานกลางฝากระโปรงดีไซน์โหนกนูนเรียบเนียนไม่เกะกะสายตาในการมอง ตำแหน่งเบาะปรับสูงต่ำได้ได้ตามใจชอบด้วยไฟฟ้า
เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ลูกเดิมรุ่น AWR6B45 จากค่าย AISIN ปรับตัวตนใหม่อีกครั้งด้วยการพัฒนาเซตซอฟท์แวร์ใหม่ให้การเปลี่ยนเกียร์สัมพันธ์ความเร็วอย่างรวบรัดสมูทขึ้นแถมมี Rev-Tronic บวกและลบในชุดเกียร์และก้านเหนี่ยวเกียร์ที่หลังพวงมาลัยหรือ Paddle Shift สนุกสนานในการขับขี่
แม้อัตราทดเกียร์ทาง ISUZU ยังเดิมๆไม่เติมแต่งด้วยอัตราทดเกียร์ เกียร์ 1= 3.600, เกียร์ 2 = 2.090, เกียร์ 3 = 1.488, เกียร์ 4 = 1.000, เกียร์ 5 = 0.687, เกียร์ 6 = 0.580, เกียร์ถอยหลัง = 3.732 (ในรุ่น RS 4WD อัตราทดเกียร์ 4L = 2.482 แล 4H = 1.000)
หนึ่งจุดเด่นที่น่ายกยย่องกับพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering) น้ำหนักเบากว่าตอนสมัยเป็นแบบน้ำมันเบาสาวพวงมาลัยได้อย่างคล่องมือในยามขับขี่ในเมืองแต่จะเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาอีกนิดยามเดินทางไกลนอกเมืองแม้จะเป็นเส้นทางหลายโค้ง ฝนตก ก่อสร้างถนนในบางช่วง ยังให้ความอุ่นใจในการเลี้ยวการสาวพวงมาลัยผู้หญิงขับได้ผู้ชายขับดี อาจไม่เทียบเท่าคู่แข่งที่คมทุกโค้งแต่ถือว่ามีตัวตนดีไปอีกแบบ
ช่วงล่างคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และเหล็กกันโคลงช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension ครั้งนี้ทางปรับช่วงล่างใหม่ออกไปทางนุ่มนวลมากขึ้นอาการเด้งน้อยลงแต่ยังให้เห็นบ้างในบางช่วง เอาใจสายสว.อายุเยอะและวัยกลางคนที่ยังพอใจไม่อยากเอาไปแต่งเพิ่มอีก
ระบบเบรกทำงานทันใจไม่ไถลไปชนท้ายรถคันหน้า เมื่อเหยียบแป้นเบรกไป 25% เบรกจะเริ่มหน่วงและหยุดเต็มที่เมื่อเหยียบแป้นไปถึง 35% ด้วยหม้อลมเบรกขนาดใหญ่รวมถึงดิสก์เบรก 4 ล้อประกอบด้วย ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 320 มิลลิเมตรและมีดิสก์เบรกหลังให้เป็นมาตรฐาน
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในรุ่น RS 4WD นอกจากระบบขับสี่ Part Time ที่ปรับจาก 2H เป็น 4H แบบไม่ต้องหยุดรถ แต่เมื่อเข้า 4L ต้องหยุดรถนั้น มีระบบควบคุมการกระจายกำลังทุกช่วงความเร็วในเส้นทางขรุขระหรือ Rough Terrain Mode มาให้หลักการทำงานคล้ายๆกับ Diff Lock
ควบคุมการทำงานเครื่องยนต์และเบรกให้เหมาะสม ทำงานร่วมกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีหรือ TCS ถ้าเข้าหนึ่งในสามระบบขับเคลื่อน ส่งกำลังไปยังล้อหลังหรือล้อทั้งสี่ในอัตราส่วน 50:50 หรือ 60:40 เมื่อล้อหลังข้างใดข้างหนึ่งเกิดตกหลุม ติดอยู่ในร่องดิน ร่องโคลนบางๆไปจนถึงร่องโคลนหนาๆ พื้นที่เต็มไปด้วยหิน เส้นทางที่ยากลำบากที่ต้องการแรงยึดเกาะมากขึ้นจนเกินกำลังที่ระบบขับเคลื่อนจะเข้าถึง
เพียงกดปุ่มช่วยให้รอดจากอุปสรรคทางที่โหดข้ามไปไม่ได้ย่นระยะเวลาการผ่านทางโหดทุกรูปแบบให้ง่ายขึ้น แม้ในสนามทดสอบจะมีทั้งไต่เนินชัน และระบบนี้ใช้ได้ทั้ง 2H, 4 H และ 4L ตะลุยน้ำฝ่าลำธารลึกถึงลุยน้ำไม่ถึงจุดลุยสูงสุดตามที่โรงงานแจ้งไว้ถึง 800 มิลลิเมตร ยังมีระบบแสดงองศามุมปีนไต่และทิศทางการเลี้ยวผ่านหน้าจอมาตรวัด Integrated MID และ และจอ Infotainment Display 9 นิ้ว
ปิดท้ายด้วย Save Mode ประหยัดน้ำมัน เมื่อเครื่องเดิมที่พัฒนาให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO5 ส่งผลให้กำลังแรงขึ้นมาทันใจขึ้นแต่ก็ทำให้อัตราสิ้นเปลืองดรอฟลงไปบ้างหรือเหนือกว่านิดหน่อยแต่ก็ยังให้ความประหยัดตามสไตล์ ISUZU
เริ่มที่รุ่น RS 4WD ในเมืองทำได้ 8.42 กิโลเมตรต่อลิตร นอกเมืองครั้งนี้ขับไปกลับกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ทำได้ 10.80 กิโลเมตรต่อลิตร จากระยะทาง 415.8 กิโลเมตร เติมเข้าไปเต็มถัง 38.40 ลิตร และ Save Mode ทำได้ 13.90 กิโลเมตรต่อลิตร จากระยะทางรวม 61.3 กิโลเมตร จัดน้ำมันเต็มถัง 4.41 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(เมื่อเทียบกับรุ่น Ultimate 4WD EURO4 ในเมือง 7.94 กิโลเมตรต่อลิตร นอกเมืองกรุงเทพฯ-หัวหิน 11.25 กิโลเมตรต่อลิตรและ Save Mode ทำได้ 16.52 กิโลเมตรต่อลิตร)
รุ่น ULTIMATE 2WD ในเมืองทำได้ 8.77 กิโลเมตรต่อลิตร นอกเมืองทำได้ 12.10 กิโลเมตรต่อลิตร จากระยะทาง 196 กิโลเมตร เติมเข้าไปเต็มถัง 16.19 ลิตร และ Save Mode ทำได้ 11.59 กิโลเมตรต่อลิตร จากระยะทางรวม 61.3 กิโลเมตร จัดน้ำมันเต็มถัง 5.29 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Safety & Feature
ตามคำเรียกร้องของเหล่าประชาคม ISUZU รุ่นเก๋าจนถึงสายโมรุ่นใหม่กับกล้องรอบคัน 360 องศา Surround View Camera ภาพคมชัดแบบ 3D แถมฟังก์ชันมองมุมใต้ท้องรถในยามลุย ให้ภาพชัดไม่มัวแม้จะมองมุมไหนหลายๆมุมให้ความละเอียที่ดีแต่ว่าอยู่ในรุ่น RS 4WD
พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ISUZU MATRIX SAFETY INTELLIGENCE ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ทำงานด้วยกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera แม่นยำกว่ากล้องเดี่ยวแบบ Mono Camera ทั่วไป ตรวจจับเส้นถนนและวัตถุด้านหน้ารถแบบ Real Time มีมุมมองกว้างและแม่นยำกว่าเดิมด้วยเรดาร์ 2 จุด และเซนเซอร์ 8 จุดรอบคัน โดย ADAS Generation เพิ่มเติมใหม่ 5 ระบบ เช่น
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System) ใหม่!
- ช่วยควบคุมทิศทางของรถตามรถคันหน้า TJA (Traffic Jam Assist) ใหม่!
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ELK (Emergency Lane Keeping) ใหม่!
- ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ใหม่!
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Brake) ใหม่!
ช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attention Assist) ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อม Stop&Go เตือนการชนด้านหน้าอัตโนมัติ FCW (Front Forward Collision Warning) หยุดรถอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Brake) เตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDWS (Lane Departure Warning System)
ช่วยเบรกฉุกเฉินขณะกำลังเลี้ยว TA-AEB (Turn Assist with Autonomous Emergency Braking) ควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam) เบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน MCB (Multi-Collision Brake)
ตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง MSL (Manual Speed Limiter) ตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation) พร้อมแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน BSM (Blind Spot Monitoring) และช่วยเตือนขณะถอย RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
ป้องกันล้อล็อกขณะเบรก ABS (Anti-Lock Brake System) พร้อมเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) กระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-Force Distribution) ป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว TCS (Traction Control System) ควบคุมการทรงตัวขณะขับขี่ ESC (Electronic Stability Control) ควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC (Trailer Sway Control)
ลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก BOS (Brake Override System) ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 ตำแหน่ง เซนเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ Parking Aid System รวม 8 จุด ทำงานร่วมกับกล้องมองหลัง พร้อมเส้นกะระยะ Lane Guide โครงสร้างห้องโดยสาร Ultra-High Tensile
ตลอดการขับขี่ได้ทดลองใช้ระบบบางรายการเริ่มที่ระบบล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC พร้อม Stop&Go สมมติถ้าเราตั้งความเร็ว 100 แล้วไม่มีรถคันหน้าเข้ามาเราก็ยังขับที่ความเร็วที่ตั้งไว้ถ้ามีรถคันหน้าเข้ามาในเลนของเรา ถ้าคันหน้าขับที่ความเร็ว 80 รถของเราที่ตั้งความเร็วเดิมไว้จะลดลงเหลือ 80 และจะกลับมาความเร็ว 100 อีกครั้งเมื่อรถคันหน้าออกนอกเลน
ส่วน Stop&Go คันหน้าหยุดเราหยุดคันหน้าไปเราไปแต่ต้องหยุดไม่เกิน 2 วินาทีระบบทำงานต่อไปแต่ถ้าหยุดเกิน 2 วินาทีรถจะหยุดนิ่ง เมื่ออกตัวกดปุ่ม Resume อีกครั้งภาพรวมคำนวณความเร็วได้ค่อนข้างแม่นย ไม่ดีเลย์ แถมเบรกแม่นยำประดุจเราเบรกเองยอมรับเลยว่าสุดยอด
ด้านช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย RCTB และเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB เมื่อเจอรถคันหน้า คนเดินถนน แม้จะพัฒนาเวอร์ชันให้ใหม่แต่ความไวในการทำงานไวแบบไม่ทันตั้งตัวปนสยองขวัญเล็กน้อยทางที่ดีควรปรับให้ไวแบบสมเหตุสมผลก็ยังดีซึ่งจะคล้ายตอนรีวิว ISUZU V-Cross 4×4
ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลนในสถานการณ์ฉุกเฉิน ELK ทำงานร่วมกับเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน BSM เมื่อรถสวนมาแล้วจะเลี้ยวโดยลืมเปิดไฟเลี้ยวหรือเปิดไฟเลี้ยว BSM จะทำงานผสานให้พวงมาลัยดึงกลับไม่ให้ออกไปนอกเลนพร้อมเสียงเตือนโดยพวงมาลัยไม่หน่วงแบบสยองในความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
Verdict
รุ่น RS 4WD สิ่งที่สัมผัสได้นอกจากหน้าตาใหม่แนวสปอร์ตถ้าจะให้เข้มขึ้นอยากให้สปอยเลอร์หลังทาด้วยสีดำจะได้กลมกลืนกับหลังคารถและกันชนหลังอยากให้หล่อขึ้นรูปรวมดีไซน์สเกิร์ตข้างในชื้นเดียว ไม่ต้องติดเสริมข้างแยกชิ้นซ้าย-ขวาอีก ภายในเน้นดำเขียวมะนาวให้อารมณ์สปอร์ตเหนือสิ่งอื่นใด ไฟ Ambient Light อยากให้มีสีอื่นมากกว่าสีแดงได้มีสีสันขึ้น
ทางด้านรุ่น ULTIMATE 2WD ยังรักษาความหรูไว้เช่นเดิมแม้จะเปลี่ยนตามยุคเหมาะสำหรับผู้บริหารที่ใช้เป็นรถประจำตำแหน่งเฉิดฉายในเมืองเสียดายที่ว่ารุ่นนี้ไม่มีรุ่น 4WD ตัดทางเลือกของลูกค้าที่อยากได้รถขับสี่มาดหรูในราคาถูกกว่ารุ่น RS ออกไป
ขุมพลังหายห่วงแรงไวขึ้นตอบสนองดีขึ้นกว่าตอน EURO4 เปลี่ยนเกียร์สมูทฉับไวขึ้นด้วยการเซตใหม่อีกครั้ง ช่วงล่างนุ่มขึ้นไม่ดีดอีก พวงมาลัยไฟฟ้าน้ำหนักเบาในย่านความเร็วปกติและเพิ่มน้ำหนักขึ้นตอนขับทางไกล รวมถึงกล้อง 360 รอบคันที่ให้มาภาพมองชัดเจนเสียดายน่าจะให้ในรุ่น ULTIMATE มาด้วยก็คงจะดี
ราคาถูกกว่าคู่แข่งด้วยข้าวของทีจัดมาเต็มๆเรียกว่าถูกใจอย่างแน่นอนถ้าชอบความสปอร์ตเข้มก็ต้องเลือกรุ่น RS 4WD ในราคา 1,759,000 บาท หรือหล่อสำอางก็ต้องเลือกรุ่น ULTIMATE 2WD 1,589,000 บาท (ส่วนต่างจะอยู่ที่ 170,000 บาท)
รุ่น RS หลังคาดำมีให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่ สีเทาไอเกอร์ เกรย์ โอเพค (Eiger Gray Opaque) สีใหม่, สีขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite White Pearl) เพิ่มเงิน 12,000 บาท, สีดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica)
ส่วนรุ่น ULTIMATE มีสีเฉพาะอีก 3 สี รวม 6 สีทั้งสีแดงเอทนา ไมก้า (Etna Red Mica), สีเงินเข้มไอซ์เบิร์ก ไมก้า (Iceberg Silver Mica) และสีเงินอ่อนโบฮีเมียน เมทัลลิก (Bohemian Sliver Metallic) จากเดิมมีสีเทาไอเกอร์ เกรย์ โอเพค (Eiger Gray Opaque), สีขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite White Pearl) และสีดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica)
ด้วยความเป็นรถพีพีวีที่คนไทยนิยมมานานรวมถึงการบริการครอบคลุมทั่วไทย 332 แห่งทำให้ ISUZU MU-X มียอดขายสะสม 9 เดือนที่ผ่านมา 9,196 คัน ลดลง 44.4% ส่วนแบ่งตลาด 34.1% จากยอดขายรวมสะสม 9 เดือน 26,944 คัน ลดลง 43.0% สมแล้วที่เป็นรถพีพีวียอดขายอันดับ 1 มาหลายเดือนสร้างจุดสูงสุดใหม่กับชีวิตที่เหนือกว่าหรือ “THE NEXT PEAK” นั่นเอง