More

    BYD ออสเตรเลียห้ามลูกค้าดัดแปลง BYD SHARK 6 เป็นกระบะหัวกระสือ

    เปิดตัวและราคาขายที่ออสเตรเลียสำหรับ BYD SHARK 6 กระบะรุ่นแรกของค่ายกับพลังปลั๊กอินไฮบริดได้ไม่นานก็เกิดกระแสดราม่าขึ้นมาจนได้

    BYD

    โดยทาง BYD ออสเตรเลียแจ้งกับลูกค้าที่เป็นเจ้าของน้องฉลามดุอย่าง BYD SHARK 6 ว่าห้ามทำการถอดกระบะท้ายให้กลายกระบะแบบ Cab-Chassis หรือหัวกระสือ เพื่อดัดแปลงใส่กระบะพื้นเรียบทำจากอะลูมิเนียม

    จากคำชี้แจงของกลุ่มผู้ใช้รถรุ่นนี้ BYD Shark Owners Australia ลงบนเพจของ BYD Australia และ EV Direct กล่าวว่าถ้ามีการดัดแปลงจากช่างที่ขาดทักษะจากร้านข้างนอกอาจทำให้พื้นฐานของรถคันนี้เสียหายได้เพราะรถรุ่นนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ถอดสายไฟ ช่องต่างๆที่ยึดกับตัวรถด้านข้างแบบถาวร และระบบต่างๆที่เกี่ยวเนื่องได้ไม่ว่าจะเป็น สายไฟแรงดันสูง ระบบปั๊มตรวจจับการรั่วไหลหรือ EVAP สายไฟของระบบ V2L ที่มีกำลังไฟ 230V

    BYD

    อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ถูกไฟดูด ซ้ำร้ายการรับประกันคุณภาพตัวรถจากบริษัทแม่อาจถูกยกเลิกก็เป็นได้ทางที่ดีถ้าต้องการจะทำรุ่น Cab-Chassis หรือหัวกระสือมาใส่กระบะพื้นเรียบควรให้ทางช่างที่ผ่านการรับรองจาก BYD โดยตรงเป็นผู้ดัดแปลงให้จะดีกว่า และทาง BYD Australia และ EV Direct ก็พร้อมที่จะเผยเวอร์ชัน Cab-Chassis จากโรงงานโดยตรงออกขายเร็วๆนี้

    หน้าตาดุแกร่งทั้งคันเทียบเท่าคู่แข่งเริ่มที่กระจังหน้าพร้อมตรา BYD ตัวบิ๊กล้อมกรอบด้วยไฟหน้าแนวตั้ง Dual LED ไฟหน้า DRL แบบ LED รูปตัว C บึกบึนกับชุดกับชนหน้าดีไซน์ลงตัวกับชุดกระจังหน้าสง่าด้วยหลังคารถแบบลอยตัวติดตั้งราวหลังคาและซันรูฟขนาดใหญ่ด้านข้างเด่นด้วยบันไดข้างดีไซน์กลมกลืนกับคิ้วขายล่างประตู

    กระบะท้ายดุดันด้วยไฟท้าย LED แนวตั้งลากยาวแนวนอนในชุดกระบะท้าย กันชนหลังดีไซน์กลมกลืนกับตัวถังรถ พร้อมความจุกระบะภายใน 1,200 ลิตร พร้อมแหล่งจ่ายไฟ 220V (สูงสุด 6kW)

    คิ้วขอบล้อทรงเหลี่ยมกับล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว สร้างจากแพลต์ฟอร์ม DMO super hybrid off-road platform สำหรับรถยนต์แนวลุยติดตั้งขุมพลังเสียบปลั๊กบนพื้นฐานแชสซีส์ขั้นบันได Ladder-Frame Architecture

    BYD

    ภายในมีออปชันมากมายทั้งคอนโซลหน้าดีไซน์แกร่งหุ้มหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังกชัน 3 ก้านยกมาจาก Leopard 5 จอแสดงผลบนคอนโซลหน้า Head Up Display ขนาด 12 นิ้ว จอมาตรวัดดิจิทัลแบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.8 นิ้วในชุดแผงคอนโซลหน้ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Apple CarPlay กับ Android Auto

    พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hi BYD” แบบภาษาอังกฤษกับลำโพง 12 จุดจาก DYNAUDIO มีช่องเสียบ USB ทั้ง Type A และ Type C ช่องแอร์คู่ใต้จอสัมผัส เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมระบบฟอกอากาศประจุลบพร้อมกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ถึงระดับ CN95

    BYD

    คอนโซลเกียร์มาพร้อมหัวเกียร์สั้นจับกระชับพร้อมที่ชาร์จมือถือไร้สายกำลัง 50W เบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ระบบกุญแจ NFC ทำงานควบคู่กับ กุญแจแบบคีย์การ์ดพร้อมระบบ Keyless Start และเบานั่งสบาย 5 ที่นั่ง เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลัง 4 ทิศทาง กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบกันเสียงและกระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย

    BYDแรงและประหยัดด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Plug-In Hybrid DM-O ขนาด 1.5 ลิตร รหัส BYD476ZQF ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร พร้อมระบบ EHS (Electric Hybrid System) พ่วงแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ LFP ที่มีความจุ 29.58 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ Permanent magnet synchronous motor

    โดยมอเตอร์หน้าให้กำลัง 231 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตรและมอเตอร์หลัง 204 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้ความแรงสูงสุด 437 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    BYDชาร์จหนึ่งครั้งและน้ำมัน 1 ถังวิ่งไกล 800 กิโลเมตรและชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไกลในโหมดไฟฟ้าล้วนถึง 100 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ให้ความประหยัดน้ำมันถึง 12.65 กิโลเมตรต่อลิตรมีความสามารถในการลากจูงสูงสุด 2,500 กิโลกรัม ความสามารถในการบรรทุก 790 กิโลกรัมและใส่ของด้านท้ายจุถึง 1,450 ลิตร

    ชุดแบตเตอรี่จะอยู่ในส่วนกลางของแชสซีส์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อควบคุมด้วยไฟฟ้าจะตอบสนองเร็วขึ้นกว่าเดิม 100 เท่าชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 55 kW ใช้เวลาเพียง 20 นาที ชาร์จกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 7 kW ใช้หัวชาร์จแบบ Type 2/CCS Combo

    BYD

    มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบกระจายแรงบิดแบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ถึงการส่งกำลังที่เหมาะสมและการควบคุมที่แม่นยำในทุกสภาพถนนด้วยมุมไต่ หรือ มุมปะทะ Approach angle 31 องศา และโหมดการขับขี่ลุยถึง 3 โหมดทั้ง Terrain Modes ทั้ง Sand, Mud และ Snow ลุยน้ำได้ 700 มิลลิเมตร

    มีระบบดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking) เทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุดทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้มา

    ช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังแบบปีกนกคู่ (Double Wishbones) พร้อมระบบเบรกแบบเบรกดิสก์ระบายอากาศ ขับเคลื่อนโดยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ครบครันและในอนาคตอาจมี BYD SHARK 6 เวอร์ชันบรรทุกหนักหรือ heavy-duty ออกขายในปี 2026 โดยสามารถลากจูงทัดเทียมกับคู่แข่งได้สูงสุดถึง 3.5 ตัน หรือ 3,500 กิโลกรัม

    BYD

    BYD SHARK 6 มาพร้อมสีภายนอก 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Deep Sea Blue สีดำ Tidal Black สีขาว Great White ขายออสเตรเลียรุ่นเดียวคือรุ่น Premium มาในราคาไม่รวมค่าจดทะเบียนและภาษีถนน On-Road ของออสเตรเลีย $57,900 หรือราว 1,235,000 บาท ส่วนเมืองไทยพบกันภายในปีนี้เวอร์ชันประกอบในประเทศ

    ที่มา CAREXPERT

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts