ในโลกของยานยนต์ เรามักจะเห็นรถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่กลับมีทางเลือกของเครื่องยนต์ให้เลือกซื้อถึงสองแบบหลัก ๆ คือ เครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline/Petrol Engine) และ เครื่องยนต์ดีเซล (Diesel Engine) ซึ่งคำถามที่ตามมาคือ “ทำไมผู้ผลิตถึงต้องทำเช่นนั้น?” คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกเครื่องยนต์ที่ ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานและงบประมาณ ของตนเองได้อย่างเหมาะสมที่สุด เนื่องจากเครื่องยนต์ทั้งสองชนิดนี้มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
1. ความแตกต่างที่สำคัญ: เบนซินและดีเซล (ทางเลือกเพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกัน)
การที่ผู้ผลิตเสนอเครื่องยนต์ทั้งสองแบบในรถรุ่นเดียว เป็นการเสนอทางเลือกที่อาศัยความแตกต่างพื้นฐานของเครื่องยนต์แต่ละประเภท ดังนี้:
ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ ผู้ผลิตจึงสามารถวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการหลากหลาย
2. ตัวอย่างรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ เบนซินและดีเซล ขายในประเทศไทย
ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยใช้กลยุทธ์นี้กับรถยนต์หลากหลายประเภท ตั้งแต่รถเล็กไปจนถึงรถหรู:
A. กลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Subcompact Car/Eco Car)
ตัวอย่าง: Mazda2 (มาสด้า 2)
มาสด้า 2 ถือเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในกลุ่มรถเล็กที่เน้นความแตกต่าง:
- เบนซิน (SKYACTIV-G 1.5 ลิตร): เน้นความคุ้มค่าด้านราคาเริ่มต้น ความนุ่มนวล และความเงียบ เหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก
- ดีเซล (SKYACTIV-D 1.5 ลิตร คลีนดีเซล): เน้นความแตกต่างด้วย แรงบิดสูง และ ความประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรถเล็กแต่มีสมรรถนะในการเร่งแซงที่ดีเยี่ยมและต้องวิ่งทางไกลสม่ำเสมอ
B. กลุ่มรถกระบะและ PPV (Pick-up Passenger Vehicle)
รถกลุ่มนี้เป็นตลาดที่เน้นเครื่องยนต์ดีเซลเป็นหลัก แต่บางครั้งก็มีทางเลือกเบนซินเพื่อความหลากหลาย:
Toyota Fortuner และ Toyota Hilux Revo
โตโยต้าใช้เครื่องยนต์ดีเซลในกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยแบ่งตามระดับกำลัง:
- ดีเซล 2.4 ลิตร (มาตรฐาน): ให้กำลังสูงสุดประมาณ 150 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร เน้นความประหยัด ทนทาน และเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ทั้งในรถกระบะ Revo และ PPV อย่าง Fortuner
- ดีเซล 2.8 ลิตร (สมรรถนะสูง): ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตัน-เมตร เน้นสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ขับทางไกลสบาย และรองรับการบรรทุกหนักและการลากจูง
- เบนซิน 2.7 ลิตร: เคยมีจำหน่ายในบางช่วง เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบ นุ่มนวล และบางรายอาจนำไปติดตั้งระบบแก๊ส LPG/NGV
ฟอร์ดเน้นการสร้างความโดดเด่นด้านสมรรถนะในกลุ่มดีเซลอย่างชัดเจน:
- ดีเซล 2.0 ลิตร (Single Turbo): กำลังสูงสุดประมาณ 170 แรงม้า แรงบิด 405 นิวตัน-เมตร เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับงานทั่วไป
- ดีเซล 2.0 ลิตร (Bi-Turbo): กำลังสูงสุดประมาณ 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตัน-เมตร เน้นสมรรถนะที่สูงและตอบสนองได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการกำลังสำรอง
- ดีเซล V6 3.0 ลิตร (รุ่นท็อป): กำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตัน-เมตร เป็นทางเลือกที่ยกระดับสมรรถนะและความนุ่มนวลไปอีกขั้น (มีเฉพาะในรุ่นราคาสูงของ Ranger และ Everest)
C. กลุ่มรถยนต์หรูระดับพรีเมียม
รถยุโรปส่วนใหญ่มักมีทั้งสองทางเลือก โดยเฉพาะในรุ่นยอดนิยม เพื่อตอบสนองตลาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
- Mercedes-Benz C-Class / E-Class:
- เบนซิน/เบนซิน Plug-in Hybrid (PHEV): เน้นความนุ่มนวล ความเงียบ และอัตราเร่งสูง เหมาะกับผู้ที่ขับในเมืองและเน้นความสบาย
- ดีเซล: เช่น รุ่น C 220 d, E 220 d เน้นความประหยัดน้ำมันในการขับขี่ระยะทางไกล แรงบิดที่ดี และความทนทานของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ใช้รถเดินทางบ่อยหรือผู้ประกอบการ










