เปิดตัวแล้วสำหรับเอสยูวี รุ่นใหม่ค่ายตราดาวกับ Mercedes-Benz GLB เจเนอเรชันที่ 2 ครั้งแรกใน 6 ปี ของการเปิดตัวเจนใหม่อย่างเป็นทางการ

Mercedes-Benz GLB เจนใหม่นี้มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้นแบบทรงกล่อง ที่มีตัวเลือกทั้ง 5 ที่นั่ง 2 ตอน และ 7 ที่นั่ง 3 ตอน
หน้าตาผสมกันระหว่าง CLA และ GLC with EQ Technology
ตั้งแต่ กระจังหน้าโครเมียมกรอบบางไส้ในแบบลายจุด ตราดาว และแนวนอน 4 เส้นฝังเส้นสีเงินโครเมียม เด่นแถบไฟเรืองแสง แบบ LED 94 ดวง แบบเคลื่อนไหวได้บนกระจังหน้า ประกบกับไฟหน้า LED ทั้งแบบธรรมดาและแบบ MULTIBEAM LED ให้ความสว่างสูงในวงกว้าง แต่ประหยัดพลังงานลง พร้อมไฟ Daytime Running Light รูปทรง Star Shaped รับกับฝากระโปรงหน้าดีไซน์เป็นลอนชุดกันชนหน้าใหม่พร้อมช่องระบายอากาศที่ใหญ่ดูดีกว่าเสริมด้วยแถบโครเมียม
ด้านข้างมาในแนวเอสยูวีทรงกล่องด้วยหลังคาพาโนรามิกกลาส ป้องกันรังสียูวี กรองแสงได้ เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric Panoramic sliding roof) ราวหลังคา กลมกลืนลงตัว กรอบกระจกโครเมียมเสริมเสน่ห์ กระจกมองข้างทรงสปูน ที่เปิดประตูแบบเรียบเนียนกับตัวถังรถ แบบ Flush-fitting ชายล่างเรียบเนียนเสริมคิ้วสีเงิน
ด้านท้ายเด่นด้วยไฟท้าย LED ที่มีแสงพาดแนวตั้งตลอดฝาท้ายแบบ Star Shaped ผสานเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ออกมาเป็นรายละเอียดของอัญมณีที่ลงตัว กันชนหลังมีความหรูด้วยคิ้วโครเมียมพร้อมลิ้นสปอยเลอร์เสริมช่องรีดอากาศซ้าย-ขวาและแผงทับทิมสีแดงเรียวยาว ระบบเปิด–ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS-FREE ACCESS)
ล้ออัลลอยมีหลายขนาดตั้งแต่ขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 215/65R17 ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R18 ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/50R19 และขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 235/45R20 จากพื้นฐาน Mercedes-Benz Modular Architecture (MMA) เดียวกับ CLA with EQ Technology มิติตัวรถใหญ่ขึ้นตั้งแต่
- ความยาว 4,732 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,861 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,687 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,889 มิลลิเมตร
- ช่องเก็บของด้านหน้า (frunk) ขนาด 127 ลิตร ในรุ่น GLB with EQ Technology

ภายในคล้ายกับ GLC with EQ Technology
กับแผงคอนโซลหน้า พร้อมหน้าจอขนาดยักษ์ยาวต่อเนื่อง ขนาด 38.25 นิ้ว แบบ HYPERSCREEN แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วนประกอบได้แก่ มาตรวัดความเร็ว Driver Display แบบ LED matrix backlighting 10.25 นิ้ว หน้าจอ Central Display แบบ OLED 14 นิ้ว และหน้าจอ Co-driver Display แบบ OLED ซึ่งแสดงผลได้คมชัดยิ่งขึ้นผู้โดยสารสามารถใช้หน้าจอ Co-driver Display ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ สามารถตั้งค่า ตรวจสอบสถานะต่างๆ ของรถ ค้นหาแผนที่ และใช้งานสื่อบันเทิงได้โดยไม่รบกวนผู้ขับขี่ขนาด 14 นิ้ว
จอยักษ์นี้มาพร้อมไฟแบ็คไลท์แบบ MATRIX LED ประกอบด้วยหลอด LED นอกจากนี้ยังมีโซนหรี่แสงอัจฉริยะ 2 โซนแยกอิสระจากกัน สามารถปรับความสว่างได้ผ่านแถบเลื่อน จะช่วยให้สามารถปรับความสว่างของส่วนต่างๆ ของแผงหน้าปัดและระบบสาระบันเทิงได้หลากหลายระดับ และมีหน้าจอ 2 จอ ในรุ่นเริ่มต้นมาอีก พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านทรงท้ายตัด ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head–up Display)
ติดตั้งระบบปฏิบัติการ MB.OS ที่ผสานการทำงานของเทคโนโลยี AI ด้วยระบบ MBUX Virtual Assistance เจนที่ 4 ที่ร่วมมือกับ Google นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชันระดับโลกมากมายกว่า 40 แอป อาทิ Chat GPT, Gemini, Google Maps, Microsoft Teams, Webex, Zoom Disney+ ฯลฯ มาพร้อมช่องระบายอากาศชุบสีเงินโครม ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ที่วางแก้วขนาดใหญ่ และปุ่มควบคุมแบบแถบบาง

ห้องโดยสาร 5 ที่นั่ง เก็บสัมภาระด้านหลังยังมีสูงถึง 540 ลิตร และ 7 ที่นั่ง มีพื้นที่บรรทุกของ 480 ลิตร ในกรณีไม่พับเบาะ แถวที่ 2 แบบ 40:20:40 และตอนที่ 3 แบบ 50:50 เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยบันทึกความจําสําหรับตําแหน่งที่นั่ง พวงมาลัย และกระจกมองข้าง เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบดันหลัง แบบ Lumbar support มีอุ่นเบาะสําหรับที่นั่งคู่หน้า Heated front seats โดยวัสดุหุ้มเบาะมีทั้งหนังสังเคราะห์เลียนแบบหนังแท้ หรือหนัง ARTICO กับ NAPPA ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 สี (ambient lighting)

หลังคาพาโนรามิกกลาสมาพร้อมไฟส่องสว่างเป็นดาวสามแฉก 158 ดวงและยังสามารถเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเทคโนโลยี Polymer Dispersed Liquid Crystal แบ่งโซนการใช้งานได้ 9 โซน ระบบฟอกอากาศแบบ ENERGIZING AIR CONTROL Plus แอร์อัตโนมัติ THERMOTRONIC 2 โซน
ลำโพง Burmester® 4D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูงและรอบห้องโดยสารช่วยมอบเสียงเพลงที่คมชัดสมจริงราวกับอยู่ในสตูดิโอ มาพร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos® ถ่ายทอดเสียงได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา ที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารได้อย่างรื่นรมย์

ขุมพลังเป็นแบบไฟฟ้าล้วน
เลือกได้ทั้ง 2 แบบ ติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium-ion 800V ขนาด 85 kWh ให้ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รุ่น GLB 250+ with EQ Technology ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังตอบโจทย์ในทุกมิติ ทั้งในด้านสมรรถนะอันทรงพลังที่ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร รวมถึงการติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium-ion 800V ขนาด 85 kWh ที่ให้ระยะทางการขับขี่สูงสุด 631 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP หรือ 742 กิโลเมตร (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.4 วินาที
มีประสิทธิภาพการชาร์จที่รองรับ DC Charge สูงสุด 320 kW โดยการชาร์จเพียง 10 นาที ด้วยกระแสไฟเต็มกำลัง จะสามารถขับขี่ได้ไกลถึง 260 กิโลเมตร และชาร์จ AC 22 kW
และรุ่น GLB 350 4MATIC with EQ Technology ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ตอบโจทย์งในด้านสมรรถนะอันทรงพลังที่ให้กำลังสูงสุด 353 แรงม้า แรงบิด 515 นิวตันเมตร ที่ให้ระยะทางการขับขี่สูงสุด 614 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP หรือ 722 กิโลเมตร (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.5 วินาที
มีประสิทธิภาพการชาร์จที่รองรับ DC Charge สูงสุด 320 kW โดยการชาร์จเพียง 10 นาที ด้วยกระแสไฟเต็มกำลัง จะสามารถขับขี่ได้ไกลถึง 255 กิโลเมตร และ AC 22 kW

ทั้ง 2 รุ่นรองรับการจ่ายไฟจากแบตเตอรี่รถไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า Vehicle-to-Load (V2L) ไปยังบ้าน Vehicle-to-Home (V2H) และโครงข่ายสาธารณะ Vehicle-to-Grid (V2G) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด มาพร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง ECO, COMFORT, SPORT, INDIVIDUAL สามารถปรับค่าเองได้ และโหมดลุย TERRAIN พร้อมระบบช่วยควบคุมการลากจูง Trailer Maneuvering Assist
ยังมีขุมพลังสันดาปเข้ามาขายในช่วงหลังด้วยเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร รหัส M252 มาพร้อมระบบ Mild Hybrid ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดเล็ก 1.3 kWh แบบ 48 V เพิ่มความเร้าใจในการขับขี่และประหยัด และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 27 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีด

ความปลอดภัยครบครันทั้ง
- ช่วยเบรกอัตโนมัติ (Active Brake Assist)
- ช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
- แจ้งเตือนขณะเปิดประตูรถ (Exit warning function)
- ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่า สําหรับผู้ขับขี่
- สัญญาณเตือนเข็มขัดนิรภัยบนหน้าจอ สําหรับผู้โดยสารด้านหลัง
- โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
- ป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration Skid Control)
- เบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti – lock braking system)
- เบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD Hill–Start Assist
- ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light)
- รักษาระดับความเร็ว (CRUISE CONTROL)
- เตือนเพื่อนํารถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator)
- แสดงสถานะลมยางพร้อมระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (Tire pressure monitoring system)
- ช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
- ช่วงล่างแบบปรับได้ (Adjustable damping)
- สร้างเสียงจําลอง สําหรับเตือนผู้ใช้ถนน (Acoustic presencee indicator)
- ช่วยการนํารถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด

Mercedes-Benz GLB เจนใหม่ เตรียมวางขายทั่วโลกปีหน้าทั้งรุ่น GLB 250+ with EQ Technology กับ GLB 350 4MATIC with EQ Technology ส่วนเมืองไทยคงไม่มีโอกาสที่จะได้ยลโฉม
ที่มา Mercedes-Benz










