More

    แผนใหม่ Apple Car 2025 ไร้เบรก ไร้พวงมาลัย ไร้คนขับ พับเบาะนอน ตื่นอีกทีถึงที่หมาย!!

    กระแสจากสื่อต่างประเทศมีรายงานว่า Apple วางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ในชื่อ Apple Car โดยอาจจะไม่มีเบรก ไม่มีพวงมาลัย เบาะคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน พร้อมเบาะนอนได้ ในปี 2025

    The Information สื่อจากต่างประเทศเผยรายงานเกี่ยวกับแผนใหม่ สำหรับรถยนต์คันแรกของ Apple อย่าง Apple Car ที่ได้เริ่มกระบวนการพัฒนามาเป็นเวลาร่วมกว่า 8 ปีแล้ว โดยมีการเล่าถึงปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่ Apple กำลังประสบอยู่ในขณะนี้

    โครงการรถยนต์ไฟฟ้าของ Apple ที่มีข่าวลือมายาวนานนี้มีชื่อว่า “Special Projects Group” หรือ “Project Titan” ได้เริ่มก่อตั้งในปี 2014

    รายงานระบุว่า Apple ตั้งใจออกแบบ Apple Car ให้มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบ (Fully Autonomous Vehicle) โดยตัวรถจะไม่มีพวงมาลัย ไม่มีเบรกและคันเร่ง ภายในรถจะถูกออกแบบให้มีห้องโดยสารแบบ 4 ที่นั่ง ซึ่งแต่ละที่นั่งจะหันหน้าเข้าหากัน ทำให้ผู้โดยสารสามารถพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น รวมทั้งอาจมีพื้นที่กว้างขวางพอให้ผู้โดยสารสามารถนอนได้อีกด้วย

    สำหรับแผนของ Apple Car หรือ Project Titan ตามรายงานเปิดเผยว่า ได้ Jony Ive ดีไซน์เนอร์มือทองจาก Apple ที่ลาออกไปเมื่อปี 2019 ก็มีส่วนร่วมในโปรเจกต์ Apple Car ในฐานะ ผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งน่าจะส่งผลให้ดีไซน์ของรถยนต์คันแรกของ Apple มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก

    ทั้งนี้ยังมีสื่อต่างประเทศรายงานว่า Apple ได้ตัดสินใจผลิตแบตเตอรี่สำหรับ “Apple Car” ในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะซื้อแบตเตอรี่จากซัพพลายเออร์ในประเทศอื่น

    สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า Apple Car อาจสามารถเปิดตัวได้ในปี 2025 คือการที่ Apple เร่งเดินหน้าในโครงการนี้ โดยกำลังจ้างวิศวกรเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติและด้านฮาร์ดแวร์รถยนต์มากขึ้น รวมถึงจ้าง ซีเจ มัวร์ อดีตผู้อำนวยการซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติของบริษัท Tesla ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในขณะนี้

    รวมถึงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Apple ยังได้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสภาพอากาศจาก Volvo Car AB ผู้จัดการจาก Daimler Trucks วิศวกรระบบแบตเตอรี่จาก Karma Automotive LLC และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ วิศวกรเซนเซอร์จาก Cruise LLC ของ General Motors Co. วิศวกรความปลอดภัยยานยนต์จากบริษัทต่างๆ เช่น Joyson Safety Systems และวิศวกรอีกหลายคนจาก Tesla ตามข้อมูลจาก Linked In และผู้ที่อยู่ในแวดวงนี้

    การไปถึงจุดที่จะเปิดตัว Apple Car ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โปรเจกต์รถยนต์ของ Apple ประสบปัญหาด้านการพัฒนา การถอนตัวของผู้นำหลายต่อหลายคน การเลิกจ้าง และความล่าช้ามาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา และการเข้ามาของ Tesla ในปี 2018 ทำให้ความตื่นเต้นของผู้คนได้เจือจางลงไปในตอนนี้

    ปัจจุบันลินช์เป็นผู้บริหารคนที่ 5 ที่ดูแลโครงการนี้ที่มีอายุมาแล้วกว่า 7 ปี อัตราการถอนตัวของผู้นำโปรเจกต์นี้สูงมากอย่างน่าตกใจสำหรับบริษัท Apple ยกตัวอย่าง เมื่อเทียบกับโปรเจกต์โลกเสมือนจริง VR & AR ที่มีผู้นำเพียงแค่ 1 คน ไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่เริ่มโครงการมา ซึ่งโปรเจกต์นี้ริเริ่มขึ้นในช่วงเวลาพอๆ กับโปรเจกต์ไททันนี้อีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของลินช์ที่พิสูจน์แล้วจากการทำให้ Apple Watch กลายเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ Apple ได้ แต่คำถามในตอนนี้คือ ลินช์จะสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ชิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Apple อย่างรถยนต์ ประสบความสำเร็จเหมือน Apple Watch ได้หรือไม่

    รถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ หรือที่หลายคนรู้จักกันในระบบ Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่

    • ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาควบคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติในระดับที่ 1 ยังคงต้องใช้วิจารณญาณของคนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชันช่วยขับขี่ร่วมด้วย
    • ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตราเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่อีกที ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน ระดับที่ 2 รุ่นแรกๆ
    • ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน และสามารถตัดสินใจได้อย่างฉลาดมาก เช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากผู้ขับ แม้ผู้ขับไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด รถจะมีฟังก์ชันขอความช่วยเหลือจากผู้ควบคุมรถติดมาด้วย
    • ระดับ 4 ไม่ต้องมีผู้ขับคอยช่วยเหลือในยามฉุกเฉินเหมือน ระดับที่ 3 ถึงแม้จะมีสิ่งผิดปกติหรือข้อผิดพลาดเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก ในระดับที่ 4 นี้ก็จะสามารถจัดการความผิดปกติและข้อผิดพลาดทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับผู้ควบคุมรถในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพาบุคคลในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด ระบบช่วยขับในระดับที่ 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
    • ระดับ 5 ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ควบคุม เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกันกับมนุษย์หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งมีทักษะการขับรถยอดเยี่ยม ในระดับที่ 5 นี้จึงไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัยในการควบคุมทิศทางรถ และไม่มีรวมไปทั้งคันเร่งและเบรก ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไปในอนาคตข้างหน้าโดยมีหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City จะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างที่พัฒนาและทดสอบอย่างจริงจัง

    สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะนี้ ที่หลายฝ่าย หลายหน่วยงานที่กำลังพัฒนาในโลกของเรานั้น ทุกคนล้วนแต่คิดถึงความเป็นไปได้ว่า สามารถสร้างความปลอดภัยให้กับมนุษย์เราได้จริงหรือไม่ และสามารถไว้ใจในระบบนี้ได้จริงหรือไม่ อันนี้ก็ต้องมาคอยติดตามกันอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างว่าโลกเราพัฒนาไปเร็วมาก หากจะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเกิดขึ้นบนโลกทุกวัน เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยให้กับมนุษย์มากขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุด และทางทีมงาน Car2day จะรีบนำมาอัปเดตให้ได้ติดตามกันเช่นเดิม

    อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-18/apple-accelerates-work-on-car-aims-for-fully-autonomous-vehicle

    ภาพ: Vanarama


    บทความอื่น ๆ 

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts