ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกของไทยได้รับการตอบรับอย่างคับคั่งตามขนาดก้อนแบตตั้งแต่ Mild Hybrid, Hybrid, Plug In Hybrid, EREV และ EV
รวมถึงยานยนต์พลัง ไฮโดรเจน ที่ค่ายรถบางค่ายทดสอบการใช้งานให้มั่นใจและเสถียรก่อนจะขายจริงมีด้วยกันถึงสองแบบทั้งแบบ FCEV หรือ Fuel Cell Electric Vehicle ที่ใช้พลังไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และ HICEV Hydrogen Internal Combustion Engine Vehicle ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในการขับเคลื่อน ล้วนได้รับการตอบรับอย่างดี แต่สำหรับ Suzuki ค่ายรถเล็กที่มีหลากรุ่นรถตรงความต้องการคนยุคใหม่ก็ขอเข้าร่วมชิงเค้กก้อนนี้กับรถยนต์พลังไฮบริดที่พกถ่านก้อนเล็กสุดเรียกกันว่า Mild Hybrid หรือ MHEV ทำตลาดในไทยเป็นครั้งแรกในร่างรถอเนกประสงค์เล็ก MINI MPV กับ Suzuki Ertiga Smart Hybrid
Design & Exterior
เจ้าเอ็มพีวีเล็ก 7 ที่นั่งติดถ่านเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยยกร่างเจเนอเรชันที่ 2 มาแต่งหล่อหรูด้วยกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ด้วยไส้ในที่เส้นกระจังหนาขึ้นกว่าเดิมติดตราโลโก้ S รับกับชุดกันชนหน้าทรงหรูหราพร้อมไฟตัดหมอกหน้าทรงกลม ไฟหน้า Projector เพิ่มออปชันเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ กับ ไฟส่องสว่างเพื่อการมองเห็นในที่มืด Guide Me Light ด้านข้างเด่นด้วยกระจกรถที่ใหญ่กว้างขวางมองเห็นชัดเจน กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยวเพิ่มปรับ-พับไฟฟ้ากรณีล็อกหรือปลดล็อกประตูรถ ที่เปิดประตูแบบก้านดึงโครเมียมมีปุ่มสีดำเล็กๆ สำหรับล็อกปลดล็อกประตูรถ
ล้ออัลลอยลายทูโทนสองแบบ ขนาด 15 นิ้ว พร้อมยางขนาด 185/65R 15 จาก Dunlop รุ่น EC 300+ เน้นการใช้งานง่ายๆสบายๆ เสาอากาศแบบเสาสั้นติดหลังคารถ ไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟหรี่ Light Guiding ในโคมเดียวกัน แต่เปลี่ยนในส่วนคิ้วฝาท้ายดีไซน์ใหม่แนวยาวครอบทับฝาท้าย ส่วนบนแทนตำแหน่งคิ้วกรอบป้ายทะเบียน สัญลักษณ์ Hybrid ท้ายรถ รับกับกันชนหลังสีเดียวกับตัวรถที่ดูดี
ตัวรถขนาดที่พอดีสมส่วนตั้งแต่ความยาว 4,395 มม. ความกว้าง 1,735 มม. ความสูง 1,690 มม. ฐานล้อ 2,740 มม. ความกว้างฐานล้อหน้า 1,510 มม. ความกว้างฐานล้อหลัง 1,520 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 180 มม. น้ำหนักรถ 1,160 กก. และความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร จากพื้นฐาน Heartech
Interior & Convenience
ภายในคล้ายกับ Suzuki Ertiga รุ่นปกติแต่เพิ่มออปชันตั้งแต่ แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) รองรับการชาร์จโทรศัพท์มือถือได้หลากหลาย เพิ่มระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ หรือ Cruise Control ในชุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านทรงท้ายตัดหรือ D-Shape พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและการสั่งการสมาร์ตโฟน ลายไม้สีเข้มใหม่ในชุดแผงประตู แผงคอนโซลหน้าและพวงมาลัยสามก้าน เบาะนั่งผ้าสีทูโทนเทาดำหุ้มใหม่ มาตรวัดเรืองแสงจอพื้นหลังเป็นสีฟ้าใหม่ พร้อมจอ MID ขนาด 4.2 นิ้วแบบสี TFT เพิ่มความคมชัด ตอบสนองต่อการแสดงผลและประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว กุญแจรีโมท Keyless Entry สีฟ้า ประตูเปิด-ปิดได้ โดยไม่ต้องกดกุญแจรีโมต ความสบายจากเบาะ 7 ที่นั่งที่ทั้งปรับเอนพับได้ 60:40 และเลื่อนได้สุด 240 มม. ในตอนสองและ 50:50 ในตอนสามเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการขนสัมภาระมากถึง 550 ลิตรและเมื่อพับเบาะตอนสองกับตอนสามจะมีพื้นที่มากถึง 803 ลิตร จอสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้ว เชื่อมต่อ Bluetooth การเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน Apple CarPlay, Android Auto รวมไปถึงช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI ที่บริเวณคอนโซลหน้า พร้อมลำโพง 4 จุด อีกทั้งช่องจ่ายไฟสำรอง 12V มากถึง 3 ตำแหน่ง ทันสมัยด้วยระบบ Keyless Push Start
Engine & Transmission
ขับเคลื่อนเร้าใจในการใช้งานประจำวันและต่างจังหัวดอย่างสนุกสนานด้วยพลังเบนซิน 1.5 ลิตร รหัสเดิม K15B ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1,462 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ X ช่วงชัก 74.0 X 85.0 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 10.5:1 ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ทอร์คคอนเวอรเตอร์ พ่วงด้วยแบตเตอรี่ก้อนเล็กสุด Lithium lon 6Ah 12V จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก Integrated Starter Generator (ISG) ที่ช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์ถึง 3 แรงม้า แรงบิด 50 นิวตันเมตร ภายใต้ระบบไฮบริดที่ชื่อว่า Mild Hybrid (MHEV) หรือ SVHS (Suzuki Hybrid Vehicle System)
Handling & Ride
มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ Mild Hybrid หรือ SVHS (Suzuki Hybrid Vehicle System) กันก่อนโดยระบบนี้ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ISG (Integrates Starter Generator) เป็นทั้งไดชาร์จและไดสตาร์ทในตัวทำงานในส่วนต่างๆเพื่อเก็บพลังงานที่เหลือจากการขับขี่มาใช้งานเช่นขณะถอนคันเร่งหรือเบรก มาปั่นเป็นกระแสไฟฟ้ากักเก็บไว้ใช้งานในแบตเตอรี่และเครื่องยนต์หยุดการทำงานรวมถึงตอนออกตัว ส่วนการขับขี่ปกติและเร่งแซงเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน มีระบบเพิ่มแรงบิดชั่วคราวเพื่อให้ความมั่นใจในการแซง หรือ Torque Assisted Function ตอบสนองสมรรถนะการขับขี่
ง่ายๆระบบนี้ช่วยในการเร่งแซงโดยทำงานร่วมกันทั้งแบตและมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์ทำงาน ตลอดการขับขี่ในเส้นตัวเมืองและนอกเมืองเชียงใหม่ การขับขี่ก็ยังเหมือนกับรุ่น Ertiga รุ่นปกติ หรือแม้กระทั่งพี่น้องท้องเดียวกันอย่าง XL7 ภาพรวมตอบสนองน่าพอใจทั้งในความเร็วต่ำ กลาง สูง ไม่อืดคลานแต่เมื่อมีชุด ISG เข้ามาเริ่มที่จังหวะออกตัวชุด ISG ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่ เปลี่ยนตัวเองให้กำลังขับได้ในช่วงเวลาหนึ่งและสั้นๆเพียง 4-5 วินาที เพื่อให้รถออกตัวแบบนุ่มๆ ไม่ใช้กำลังเครื่องมากเพื่อความประหยัด พอความเร็วเข้า 10 กม./ชม.ขึ้นไปเครื่องยนต์กลับมาทำงาน ส่วนการเร่งแซงทันอกทันใจ ระบบ ISG จะกลับมาทำงานอีกครั้งแต่ทำงานสั้นๆเช่นเดียวกับตอนออกตัว และเครื่องยนต์กลับมาทำงานหลักตามเดิม
เมื่อชะลอความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เครื่องยนต์จะหยุดการทำงานโดยความเร็วใกล้เข้าไฟแดงยังเหลือ หรือไหลไปจนหยุดนิ่งด้วยการเหยียบเบรก ระบบ ISG ทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าเข้ามาเก็บในชุดแบตเตอรี่ โดยให้กำลังไฟในการใช้ฟังก์ชันต่างๆในรถได้อย่างสบายๆทั้งแอร์ หน้าจอสัมผัส เป็นต้น ทำงานร่วมกับระบบดับเครื่องยนต์ชั่วคราวและกลับมารีสตาร์ทอัตโนมัติ Auto Start/Stop จะหยุดการทำงานสูงสุด 2-3 นาทีขึ้นอยู่กับความจุแบตช่วงนั้นมีประจุมากน้อยแค่ไหน สภาพแวดล้อม สภาพอากาศภายนอกและการตั้งค่าของแอร์ในรถว่าเป็นอย่างไร
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เมื่อมาทำงานร่วมกับชุด ISG การตอบสนองนุ่มนวลไม่กระตุกนับเป็นขุมพลังที่ขับสบายๆพอเพียงไม่แรงมากไปไม่อืดมากไปแรงตามตัวของมันเอง พวงมาลัยพาวเวอร์ยังเป็นแบบไฟฟ้ารัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร น้ำหนักกำลังดี ควบคุมบังคับง่ายวงเลี้ยวแคบดีมั่นใจอย่างมากถึงในวนเวลาเลี้ยวรถกลับยูเทิร์น ช่วงล่างหน้าเป็นระบบแม็คเฟอร์สันอิสระพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริง เซตออกมานุ่มนวลมีกระด้างหน่อยๆ ขับในย่านความเร็วกลางๆเกือบสูง ยังมั่นใจกับการเข้าโค้งถึงจะหลุดโค้งไปนิดแต่ก็ควบคุมรถไม่ให้นอกลู่นอกทางเพราะส่วนหนึ่งกับความดีของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และป้องกันการลื่นไถล TCS ที่ไม่ยอมให้รถหลุดจากโค้งอย่างแน่นอน
ระบบห้ามล้อน่าเสียดายที่เป็นหน้าดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน หลังดรัมเบรกแบบฝักนำและฝักตามแต่ประสิทธิภาพน้ำหนักในการกดแป้นมากขึ้นถึง 20 % ระยะการเบรกสั้นลงทันใจโดยผสานทั้งเบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD ควบคู่กัน ทางด้านอัตราสิ้นเปลืองของรถคันนี้นั่งกันสองคนขับในเมืองเชียงใหม่ มีปริมาณการจราจรคับคั่ง ขึ้นลงดอย นิดๆ ผลออกมานั้น 13.5 กม./ลิตรถือว่าค่อนข้างน่าพอใจ
Safety & Feature
Suzuki Ertiga Smart Hybrid ให้ระบบความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง กล้องมองหลัง ทำงานควบคู่กับสัญญาณกะระยะการจอดรถด้านหลัง ควบคุมการลื่นไถล (TCS) ควบคุมการทรงตัวของรถ (ESP) ออกตัวบนทางลาดชัน (HHC) เบรก ABS+EBD ถุงลมนิรภัยคู่หน้า โครงสร้างตัวถังแบบ TECT ยับยั้งการสตาร์ทด้วยกุญแจรถปลอม Immobilizer กันขโมยและจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX และใหม่ Cruise Control ล็อกความเร็วอัตโนมัติ
Verdict
การตั้งราคา 839,000 บาท ซึ่งเพิ่มจากรุ่นเดิม 94,000 บาท แถมพ่วงชุดแบตเตอรี่ยัดลงในใต้เบาะคนนั่งกับมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมออปชันปรับความหล่อไปบางรายการ ทำให้ Suzuki Ertiga Smart Hybrid รุ่น GX มีความน่าสนใจมากขึ้นแม้กำลังเครื่องยังทำงานเหมือนกับรุ่นที่แล้วแต่ก็ให้ความประหยัดเพิ่มขึ้นมาอีกผนวกกับความสบาย 7 ที่นั่งพรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานบันเทิงตลอดเส้นทาง เก็บเสียงดี ช่วงล่างดี เสียตรงที่ความปลอดภัยเหมือนกันเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Suzuki XL7 ให้มาน้อยควรให้ทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน รวมถึงระบบห้ามล้อน่าจะให้ดิสก์เบรก 4 ล้อ สักนิดมาสักหน่อยก็จะดี ถ้าตัดเรื่องออปชันที่ให้มาแค่นี้เน้นการใช้งาน Dailyuse ทั่วๆไปถือว่าคันนี้น่าสนใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว
ขอขอบคุณ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่เชิญทีมงาน Car2Day เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถ Suzuki Ertiga Smart Hybrid