กระแส ภาษีรถยนต์ใหม่ ปี 2569 ทำให้หลายคนเริ่มกังวล โดยเฉพาะตลาดรถหรูและซูเปอร์คาร์ที่อาจต้องปรับราคาขึ้นแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มเจอผลกระทบ คุณวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี เปิดเผยว่า มาตรการขึ้นภาษีครั้งนี้กระทบต่อธุรกิจโดยตรง ลูกค้าหลายคนเริ่มชะลอการตัดสินใจซื้อ แม้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงก็ตาม เพราะราคารถหรูหลายรุ่นอาจต้องปรับขึ้นถึง 20–30% เลยทีเดียว
Ferrari ราคาดีดกว่า 10 ล้าน
ภาษีรถยนต์ใหม่ ปี 2569 กดดันตลาดซูเปอร์คาร์อย่างหนัก ราคารถหลายรุ่นต้องปรับเพิ่มขึ้น โดย ‘คุณวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี’ ผู้บริหารคาวาลลิโน มอเตอร์(Cavallino Motors) ผู้นำเข้าและศูนย์บริการ Ferrari อย่างเป็นทางการรายเดียวของประเทศไทย ระบุว่ามาตรการดังกล่าวทำให้ราคารถลักชัวรี่อย่าง Ferrari ดีดขึ้นแรง บางรุ่นจาก 40 ล้านบาททะยานเป็น 50 ล้านบาท ขณะที่รุ่นเริ่มต้นอย่าง Amalfi อาจขยับจาก 22 ล้านบาทแตะระดับ 30 ล้านบาท
โดยระบุถึงภาพรวมตลาดในสองปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยอ่อนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีนี้ที่ได้รับผลกระทบทั้งเหตุแผ่นดินไหว การท่องเที่ยวซบเซา และจำนวนกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักอย่างจีนลดลง รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ยอดขายรถยนต์โดยรวมชะลอตัว แม้แต่แบรนด์ลักชัวรี่ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว
ภาษีใหม่มาทำลูกค้าหายทันที
คุณวรวุฒิยังได้กล่าวอีกว่า คาวาลลิโนฯ ที่ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2010 และติดอันดับ Top 3 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปัจจุบันยังมีกลุ่มลูกค้าที่สนใจ แต่บริษัทก็จำเป็นต้องเร่งหาลูกค้ากลุ่มใหม่ และขยายฐานไปยังลูกค้ารุ่นใหม่มากขึ้น ทั้งกลุ่มคนรุ่น Gen X และคนรุ่นใหม่ที่มองรถเป็น ‘รางวัล’ ให้ตัวเอง
ซ้ำร้ายผลกระทบนี้ยังทำให้ตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์สันดาป ต้องเผชิญวิกฤตหนักกว่าเดิมในปีหน้า โดยคุณวรวุฒิระบุว่า ตั้งแต่มีข่าวภาษีรถใหม่ออกมายังไม่สามารถขายได้สักคัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการจองถึง 13 คัน แต่เมื่อได้รับข่าวว่าภาษีรถใหม่จะทำให้ราคารถดีดขึ้นอีกหลายล้านบาท ลูกค้าก็ยกเลิกทันที
“ผลกระทบจริงๆ สำหรับปีหน้าคือเรื่องภาษี เพราะราคาเพิ่มขึ้นไปเยอะ คนที่มีฐานะ สามารถใช้จ่ายได้ เขาก็ฉลาดพอจะรู้ว่ามันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ถ้ามันเกินความจำเป็น เขาก็ไม่ซื้อ กลับกลายเป็นว่าไปไล่ให้เขาซื้อที่ต่างประเทศ รัฐก็ไม่ได้อะไร วันนี้คนไทยไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ที่ยุโรป ญี่ปุ่น ประเทศไทยไม่ได้อะไร มีแต่จะสูญเสียรายได้” คุณ วรวุฒิ กล่าวเสริม
ซึ่งผลกระทบครั้งนี้ไม่ใช่เพียงซูเปอร์คาร์เท่านั้น แต่แบรนด์ระดับพรีเมียมหลายยี่ห้อก็เจอแรงสั่นสะเทือนเช่นกัน พร้อมย้ำว่า “มันไม่ได้กระทบแค่ซูเปอร์คาร์ ภาครัฐก็มีโอกาสสูญเสียรายได้ด้วยซ้ำ”
สถานการณ์ยาก หนักกว่าโควิด
สำหรับมาตรการขึ้น ภาษีรถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2569 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อรถยนต์ไฟฟ้า แต่ส่งผลกระทบหนักต่อรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE: internal combustion engine) โดยคุณ วรวุฒิยังได้ระบุอีกว่า เข้าใจเจตนารมณ์ของนโยบาย แต่ภาครัฐควรคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันด้วย
“ถามว่าอยากให้ชะลอออกไปกี่เดือน ผมว่ามันขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ และคงไม่ใช่แค่เลื่อนไม่กี่เดือน” เขากล่าว พร้อมอธิบายเสริมว่าในฐานะนักธุรกิจที่ทำหลายธุรกิจ ทั้งเครื่องดื่ม น้ำ โซดา แอลกอฮอล์ ต่างก็เห็นยอดขายลดลงทั้งหมด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงตั้งแต่ผู้บริโภคทั่วไป จนถึงธุรกิจขนาดใหญ่จึงมองว่าควรยืดเวลาบังคับใช้ ภาษีรถยนต์ใหม่ อย่างน้อย 2 ปี เพื่อให้ตลาดและเศรษฐกิจมีเวลาปรับตัว พร้อมย้ำว่า การขึ้น ภาษีรถยนต์ใหม่ ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อรถ EV เพราะเป็นคนละเซกเมนต์ และอาจทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
คุณวรวุฒิยอมรับว่านี่คือช่วงเวลาทางธุรกิจที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเจอ
“ตอนโควิดยังขายได้ตามเป้า แต่ตอนนี้แย่จริงๆ หลังโควิดมาเหมือนแลนด์สไลด์ลงเรื่อยๆ”
พร้อมเตือนว่า หากภาษีทำให้ราคาซูเปอร์คาร์สูงเกินความจำเป็น ลูกค้าอาจหันไปซื้อรถจากต่างประเทศแทน ส่งผลให้ประเทศไทย ‘ไม่ได้อะไรเลย’
ยื่นเอกสารถึงคลัง หวังรัฐทบทวน
ก่อนหน้านี้คาวาลลิโนฯ ได้ยื่นเอกสารชี้แจงผลกระทบต่อปลัดกระทรวงการคลัง แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ โดยความหวังว่ารัฐจะพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
“ตอนนี้เหมือนจะชัดว่าจะขึ้นภาษีเดือนมกราคม แต่เรายังเชื่อว่าอาจชะลอได้ เพราะภาครัฐเองก็จะสูญเสียรายได้”
โดยคุณวรวุฒิยังได้ทิ้งท้ายด้วยไว้ว่า
“ทบทวนอีกนิดว่าใช่เวลาจะขึ้นภาษีหรือไม่ นโยบายนี้วางไว้ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเข้าใจได้ แต่วันนี้เศรษฐกิจไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะเห็นมุมนี้บ้าง”
เรียกได้ว่าการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้กระทบหลายวงการ แม้แต่ตลาดรถหรูและซูเปอร์คาร์ที่ได้รับผลไปเต็ม ๆ เช่นกัน หลายฝ่ายต้องรอดูว่ารัฐจะมีการปรับมาตรการช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการและรายได้ของประเทศได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้
ที่มา : forbesthailand.com
ขอบคุณรูปจาก:marketeeronline.co
