ในที่สุดประเทศไทยเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ Honda HR-V รุ่นใหม่หมดโดยงานนี้สเปกไทยจำหน่ายเพียงขุมพลังเดียวนั่นคือ Hybrid e:HEV ที่พร้อมขับเคลื่อนชีวิตของคุณไปข้างหน้าในทุกเส้นทาง
เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกตลาดเอสยูวีขนาดกลางในประเทศไทยและเป็นรุ่นรถที่สำคัญของ ฮอนด้า ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตของเซกเมนต์ในปัจจุบัน B-SUV เจเนอเรชั่นที่ 2 จึงเปิดตัว ภายใต้แนวคิด “AMP UP Your Life” โดยจะเป็นยนตรกรรมที่ผสานทั้งฟังก์ชันการใช้งานและสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม เพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและพาคุณไปค้นพบตัวตนใหม่ในทุกการเดินทางในสไตล์สปอร์ตคูเป้ ออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่ประณีตในทุกรายละเอียด ดึงดูดทุกสายตาด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีเดียวกับตัวรถ (รุ่น e:HEV EL) และสีดำเงา (รุ่น e:HEV E) ที่เชื่อมต่อกับไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED กันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่ ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (รุ่น e:HEV EL) สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต เสาอากาศครีบฉลาม ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/60R17 (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL) โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า
พร้อมด้วยการปรับตำแหน่งของเสา A ที่ช่วยให้กระโปรงหน้าดูลาดยาวยิ่งขึ้น ตอบรับกับการใช้เส้นสายในแนวนอนที่ยาวต่อเนื่องมอบความรู้สึกสปอร์ตโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย อีกทั้งด้านหลังมาพร้อมดีไซน์ท้ายลาดสไตล์ Fastback ที่ผสานการออกแบบเข้ากับหลักอากาศพลศาสตร์ไว้อย่างลงตัว ช่วยให้ตัวรถสวยงามและเฉียบคมไฟท้ายแบบ LED Light Strip ที่เชื่อมต่อกับไฟเบรกเป็นเส้นแนวยาว อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นและสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นยนตรกรรมไฮบริดได้อย่างชัดเจน
สำหรับรุ่น e:HEV RS ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมไปอีกขั้น ด้วยดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ RS สัญลักษณ์ AMP UP บนกันชนหน้าด้านล่าง สะท้อนพลังใหม่ที่แตกต่าง กันชนหน้า-หลัง พร้อมชายกันกระแทกด้านข้างสีดำแบบสปอร์ตตกแต่งด้วยโครเมียม ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟท้ายแบบ LED Light Strip สี Smoke ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้วพร้อมพร้อมยาง 225/50 R18 เผยมุมมองใหม่ด้วยหลังคากระจกแบบพาโนรามา (Panoramic Glass Roof) พิเศษยิ่งขึ้นกับสีภายนอก สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน สะท้อนความสปอร์ตไปอีกขั้น มิติตัวรถใกล้เคียงกับรุ่นเดิมพอสมควรตั้งแต่ความยาว 4,330- 4,385 มม. ความกว้าง 1,790 มม. ความสูง 1,580 -1,590 มม. ฐานล้อ 2,610 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 196 มม. น้ำหนักรถ 1,370-1,407 กก. และความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร
ภายในได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกองค์ประกอบ โดยมุ่งเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง มอบพื้นที่ที่กว้างขวาง สะดวกสบายในทุกที่นั่ง ด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Automatic Air Conditioning) ที่มาพร้อมระบบ Air Diffusion System โดยช่องปรับอากาศได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ มอบทิศทางลมที่หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ กระจายลมได้อย่างเหมาะสม ทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร พร้อมด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง (เฉพาะรุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS) มาพร้อมเบาะหนังดีไซน์ใหม่สีดำ ที่ออกแบบให้โอบรับกับสรีระของผู้นั่งได้ดียิ่งขึ้น คงเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์ แยกพับแบบ 60:40 ที่สามารถปรับพับได้หลากหลายเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้อย่างสูงสุด โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ทั้ง Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว และ Tall Mode: ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของ ฮอนด้า ที่สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง ที่สามารถพับเบาะในโหมดนี้ได้
พร้อมฟังก์ชั่นต่างๆได้แก่ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV RS) ลำโพง 6 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV EL) และ ลำโพง 4 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV E) ไฟอ่านหนังสือด้านหลังแบบ LED เปิด-ปิดแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) แผ่นกั้นห้องสัมภาระท้าย (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 4 ช่อง ด้านหน้า 2 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) และช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า จำนวน 2 ช่อง (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL) พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มควบคุมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING
ใหม่ ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS) พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close) เพียงสอดเท้าไปที่เซนเซอร์บริเวณใต้กันชนด้านหลัง ระบบจะเปิดฝากระโปรงท้ายโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงกดสวิตช์ปิด พร้อมทั้งหยิบสัมภาระออกจากท้ายรถ และเดินออกห่างจากตัวรถ ระบบจะทำการปิดฝากระโปรงท้ายลงโดยอัตโนมัติ โดยขณะใช้งานจะต้องมีกุญแจรีโมทอยู่กับตัว และอยู่ห่างจากตัวรถอย่างน้อย 1 เมตร
สำหรับรุ่น e:HEV RS มาพร้อมเบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดงแบบสปอร์ต แป้นเบรกและแป้นคันเร่งสไตล์สปอร์ต และ พวงมาลัยสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง และ Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ได้แก่
- My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ
- Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่
- Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์
- Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูล หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ
- Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย
- Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด
- Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้
- Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน
พลังความท้าทายที่ไร้ขีดจำกัดที่ด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive)และชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด สามารถเก็บประจุไฟ และช่วยให้การชาร์จไฟเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งสามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่โดยอัตโนมัติในขณะขับขี่ กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว รหัส LEB-H5 108 แรงม้าที่ 6,000-6,400 รอบ/นาที แรงบิด 127 นิวตันเมตรที่ 4,500-5,000 รอบ/นาที ผสมผสานกันทำงานมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ให้กำลังรวมสูงสุด 131 แรงม้าที่ 4,000-8,000 รอบ/นาที แรงบิด 253 นิวตันเมตรที่ 0-3,500 รอบ/นาที พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า E-CVT เลือกได้เฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าให้อัตราการประหยัดน้ำมัน ดีเยี่ยมถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร
พร้อม Drive Mode ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้อย่างง่ายดายตามความต้องการ ซึ่งมีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่ ECON Mode Normal Mode และ Sport Mode นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ที่เหมาะกับการใช้งานบนถนนในทุกสภาวะการขับขี่ ให้ทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ควบคู่ไปกับความปลอดภัย และยังมีโหมดการขับขี่ 3 โหมด ซึ่งระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดให้เหมาะสมที่สุดในทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด มอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ได้แก่
– โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มอบอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ เหมาะกับการขับขี่ในเมือง โดยแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความจุมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถขับขี่ในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ได้อย่างต่อเนื่อง
– โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) โดยระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและทรงพลัง
– โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและมีแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่
ระบบความปลอดภัยความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda Sensing ติดตั้งเป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อย ทำงานร่วมกับกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่าง มีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีด้านการขับขี่ระดับพรีเมียม อาทิ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) พร้อมระบบ Auto Brake Hold ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง รอบคัน ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)
เอสยูวีรุ่นใหม่หมดอย่าง Honda HR-V มีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีใหม่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) พร้อมด้วยสีขาวแพลทินัม (มุก) และ สีดำคริสตัล (มุก) ในทุกรุ่นย่อย พิเศษสำหรับสีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน เฉพาะรุ่น e:HEV RS และมีรุ่นย่อยถึง 3 รุ่นดังนี้
- รุ่น e:HEV RS ราคาประมาณการต่ำกว่า 1,200,000 บาท
- รุ่น e:HEV EL ราคาประมาณการต่ำกว่า 1,100,000 บาท
- รุ่น e:HEV E ราคาประมาณการต่ำกว่า 990,000 บาท
โดยจะเปิดราคาอย่างเป็นทางการ 19 พฤศจิกายน นี้ ผ่านทาง LIVE ถ่ายทอดสดออนไลน์ทาง Facebook Fanpage และ YouTube Channel: Honda Thailand ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป พร้อมทั้งเตรียมสัมผัสตัวจริงได้ที่บูทฮอนด้า (A14) ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 (Motor Expo 2021) ตั้งแต่วันที่ 2 – 12 ธันวาคม 2564 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี