เข้าสู่ยุครถปลายรุ่นอย่างเป็นทางการสำหรับ Mercedes-Benz E-Class W213 ทำตลาดในไทยมายาวนานถึง 8 ปี และเตรียมการต้อนรับเจนใหม่ภายในปีนี้
ทางค่ายรถดาวสามแฉกจัดลดก่อนไม่รอเจนใหม่แล้วนะภายใต้โมเดลธุรกิจใหม่ “Retail of the Future” ที่พลิกโฉมธุรกิจค้าปลีกของแบรนด์สู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ มาพร้อมราคาและข้อเสนออย่างเท่าเทียมกันในทุกแพลตฟอร์ม รวมไปถึงการที่ลูกค้าสามารถเลือกรถยนต์ทุกรุ่นที่ต้องการผ่านระบบคลังสินค้าส่วนกลางที่เชื่อมต่อกันทั่วประเทศอย่างไร้รอยต่อประกาศลดราคารุ่นปัจจุบันถึงสามรุ่นย่อย
หน้าตาสปอร์ตเท่ตั้งแต่ชุดแต่ง AMG Body styling ปรับดีไซน์ให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจาก AMG Performance models กระจังหน้า diamond radiator grille ลงตัวด้วยไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED แบบอัจฉริยะด้วยหลอดไฟ LED จำนวน 84 หลอดต่อ 1 ข้าง ทั้งยังปลอดภัยด้วยระบบส่องสว่างระยะไกลสูงสุดถึง 650 เมตรแบบ ULTRA RANGE high beam
โดดเด่นด้วยไฟท้ายแบบ Full-LED ที่ออกแบบให้เข้ากันกับกันชนท้ายและฝากระโปรงท้ายดีไซน์ใหม่ ผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังโปร่งสบายด้วยหลังคาแก้วแบบ Panoramic Sunroof ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าความโฉบเฉี่ยวของรถยนต์คันนี้ยังต่อเนื่องไปที่ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วจาก AMG พร้อมยาง 245/40R19 สำหรับล้อหน้า และ 275/35R19 สำหรับล้อหลัง และขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 245/45 R18 และ 275/40 R18 ในรุ่น E 300 e Avangrade
ภายในตกแต่งหรูหราเช่นเดิมตั้งแต่ชุดตกแต่งภายในแบบ AMG Interior package แม่นยำทุกการควบคุมด้วยพวงมาลัยดีไซน์สปอร์ตใหม่แบบ 3 ก้านท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch control เบาะนั่งแบบสปอร์ตเพิ่มความกระชับในทุกรูปแบบการขับขี่คอนโซลหุ้มด้วยหนัง ARTICO ตลอดทั้งคัน สามารถปรับอารมณ์ของรถให้เป็นไปตามความรู้สึกด้วยไฟล้อมรอบห้องโดยสารแบบ Premium Ambient light ที่สามารถเลือกปรับได้มากถึง 64 เฉดสี พร้อม Animation เปลี่ยนสีอัตโนมัติแบบเคลื่อนไหวให้เลือกได้มากถึง 10 แบบ พร้อมเพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester® surround sound system พร้อมลำโพงจำนวน 13 ตำแหน่ง
ผสานทุกการควบคุมเข้าด้วยกันผ่านระบบ MBUX แสดงผลผ่านหน้าจอแบบ Digital Widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้วจำนวน 2 หน้าจอ รวมถึงฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมด้วยระบบสัมผัสหน้าจอ แป้นควบคุมแบบ Touchpad และระบบสั่งการด้วยเสียงรูปแบบใหม่ที่สามารถเริ่มต้นการใช้งานได้ง่ายเพียงพูดว่า “Hey Mercedes” เรื่อยไปจนถึงการผสานรถยนต์และสมาร์ตโฟนเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนด้วยระบบเชื่อมต่อ Smartphone integration ใช้งานได้ทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto
ะระบบแผนที่นำทางแบบ 3 มิติ ฯลฯ การเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ยังทำได้อย่างไม่มีขีดจำกัดด้วยระบบสัญญาณ 4G-LTE แบบ E-SIM สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เช่น เส้นทาง จุดหมายสำคัญ รายงานสภาพจราจรแบบ Live traffic ฟังวิทยุแบบ Online Radio รวมถึงสามารถติดต่อสื่อสารกับศูนย์บริการได้โดยตรงทั้งการสั่งงานผ่านหน้าจอรถยนต์ หรือผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me
ยังสามารถควบคุมรถยนต์จากระยะไกลผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยแอปพลิเคชัน Mercedes me ไม่ว่าจะเป็นการล็อกหรือปลดล็อกรถยนต์ การเปิดและปิดกระจกรวมถึงหลังคา Panoramic Sunroof การตรวจสอบและรายงานสถานะของระบบปลั๊กอินไฮบริด การจัดการระบบเปิดแอร์ล่วงหน้าแบบ Pre-Entry Climate Control การค้นหาตำแหน่งของรถ การรายงานสถานะของรถแบบ real-time เช่น ระดับน้ำมัน หรืออุณหภูมิของเครื่องยนต์ รวมไปถึงการโทรออกเพื่อขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ
มีขุมพลังให้เลือกถึง 2 รูปแบบตั้งแต่ เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Plug-In Hybrid ขนาด 2.0 ลิตร รหัส M274 DE 20 AL 4 สูบ 211 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มพลังถึง 122 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะแรงม้าสูงสุด 320 แรงม้าที่ 4,500-5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงถึง 700 นิวตันเมตร พุ่งทะยานด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วย E-Mode ได้ไกลกว่าเดิมถึง 30% หรือวิ่งในโหมดนี้ได้ไกลสูงสุดถึง 50 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ที่มีขนาดความจุ 13.5 kWh ผสานกับเซลล์แบตเตอรี่ซึ่งมีส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 10% -100 % ได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 50 นาทีหากชาร์จด้วยเครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์
ทางด้านสันดาปล้วนยังมีเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรหัส OM654 2.0 ลิตร 194 แรงม้าที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้ง 2 ขนาดเครื่องยนต์จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9 G-Tronic พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย แบบ Gerashift Paddles ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับขี่ได้ตามแบบฉบับของคุณด้วยระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีให้เลือกทั้งหมด 6 รูปแบบ
พร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน อาทิ ระบบแจ้งเตือนขณะเปลี่ยนช่องจราจรแบบ Blind Spot Assist พร้อมระบบแจ้งเตือนก่อนเปิดประตูแบบ Exit Warning ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบ Active Brake Assist ระบบช่วยเหลือก่อนเกิดอุบัติเหตุ PRE-SAFE® เซนเซอร์รอบคันจำนวน 12 จุด แบบ PARKTRONIC พร้อมระบบช่วยการนำรถเข้าจอดแบบ Active Parking Assist
กล้องแสดงภาพรอบคันแบบ 360 องศา ถุงลมนิรภัยรอบคัน 11 จุด ควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP เบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light) ระบบรักษาความเร็ว (Cruise control) และจํากัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) เตือนเพื่อนํารถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator) เตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system) ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร (Active Lane Keeping Assist) กล้องมองภาพรอบคัน และกล้องมองหลังเฉพาะรุ่น
Mercedes-Benz E-Class มาพร้อมราคาจำหน่ายใหม่ถึงวันที่ 30 เมษายนกับแคมเปญ Chinese New Year พร้อมรับฟรี ประกันภัยชั้น 1 (MB Protection) นาน 1 ปี และค่าบำรุงรักษาแพ็กเกจ Easy Care 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ดังนี้
- Mercedes-Benz E 300 e Avantgarde ราคา 2,990,000 บาท (ลดลงจากเดิม 410,000 บาท)
- Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport ราคา 3,390,000 บาท (ลดลงจากเดิม 260,000 บาท)
- Mercedes-Benz E 300 e AMG Dynamic ราคา 3,390,000 บาท (ลดลงจากเดิม 630,000 บาท)