Ducati เผยโมเดล DesertX Rally ที่โดดเด่นด้วยบังโคลนหน้าที่ยกสูงขึ้น และยาวขึ้น พร้อมด้วยเครื่องยนต์ L-Twin แบบ Testastretta 11° ขับขี่เดินทางสนุกขึ้น และพร้อมลุยมากกว่าเดิม
เมื่อไม่กี่วันมานี้ Ducati เผยโมเดล DesertX ใหม่ล่าสุด ที่ได้อัปเกรดใหม่ให้เป็นรถแอดเวนเจอร์มากยิ่งขึ้น แต่เดิมที DesertX นั้นออกมาเพื่อการลุยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การเผยโฉมโมเดลในครั้งนี้ Ducati ได้ทำให้รถรุ่นนี้มีความเป็นตัวซิ่งสายลุยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมาพร้อมการขับขี่เดินทางที่สนุกขึ้น และพร้อมลุยมากกว่าเดิม โดยใช้ชื่อรุ่น DesertX Rally
2024 Ducati DesertX Rally จะมาพร้อมกับความโดดเด่นที่ด้วยดีไซน์บังโคลนด้านหน้าใหม่ที่ยกสูงขึ้นและยาวขึ้น เพื่อการดูแลรักษาความสะอาดที่ง่ายขึ้น ยังคงไว้ด้วยเอกลักษณ์ไฟกลมด้านหน้า ระบบไฟรอบคันเป็นระบบไฟ LED
ด้านของเครื่องยนต์ยังใช้เครื่องยนต์ L-Twin ขนาด 937 ซีซี. แบบ Testastretta 11° ให้พละกำลังสูงสุด 108.5 แรงม้าที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 92 Nm ที่ 6,500 รอบ/นาที ส่งกำลังขับด้วยเกียร์ 6 สปีด ขับขี่ได้เต็มพิกัดทุกระยะทางกับถังน้ำมันขนาด 20.8 ลิตรและเสริมถังน้ำมันสำรองอีก 8.3 ลิตร
ในส่วนของช่วงล่างได้ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อรองรับลุยทุกรูปแบบ ด้วยการอัพเกรดให้ระบบกันสะเทือนมีระยะยุบตัวที่เพิ่มขึ้น ด้วยโช้คอัพหน้าหัวกลับ KYB ขนาด 48 มม. มีระยะยุบตัว 250 มม. (เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 20 มม.) และด้านท้ายเป็น โช้คอัพหลังสปริงเดี่ยว จาก KYB ให้ระยะยุบตัว 240 มม. (เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 20 มม.) จากปรับปรุงเหล่านี้ ทำให้ DesertX Rally มีความสูงมากขึ้น โดยความสูงเบาะอยู่ที่ 910 มม. และมีระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องอยู่ที่ 280 มม.
นอกจากนี้มีแดมเปอร์บังคับเลี้ยว (กันสะบัด) Öhlins แบบปรับได้ที่ด้านหน้า ติดตั้งเข้ากับแฮนด์โดยตรงเพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายเพื่อควบคุมม้าอิตาลี 108.5 ตัวที่พร้อมจะอาละวาดให้อยู่ภายใต้การควบคุม ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันการยกล้อ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน และ ABS เมื่อเข้าโค้ง รวมถึงโหมดการขี่ 6 โหมด ได้แก่ Sport, Touring, Urban, Wet, Enduro และ Rally ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการจัดการผ่านจอ TFT สีขนาด 5 นิ้วที่ติดตั้งในแนวตั้ง แน่นอนว่ายังรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนอีกด้วย
สำหรับราคา Ducati DesertX Rally ถูกตั้งไว้ที่ 18,995 ปอนด์ หากเทียบเป็นเงินไทยจะอยู่ประมาณ 853,000 บาท ซึ่งราคาสูงกว่ารุ่นมาตรฐานที่จำหน่ายในปัจจุบันอยู่พอสมควร แต่ถ้าหากเข้ามาจำหน่ายในไทยราคาคงไม่หนีไปจากนี้มากนัก และใครที่สนใจหรืออยากเห็นคันจริงก็คงต้องอดใจรอกันสักนิดเพราะไม่แน่อาจจะได้เห็นรุ่นนี้ภายในงาน Motor Expo 2024